top of page
ค้นหา

ทองคำ

อัปเดตเมื่อ 13 ก.ค.


ree

ทองคํา มีความหมายถึง ความรํ่ารวยมั่งคั่ง ความอบอุ่น จัดอยู่ในกลุ่มโลหะมีค่า มีสัญลักษณ์ทางเคมี  คือ  Au มาจากภาษาละติน  คือ Aurum เป็นโลหะมีค่าที่มีความเหนี่ยว (Ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป(Malleability) คือ  จะยืดขยาย  (Extend) เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทางโดยไม่เกิดการปริ แตก สูงสุด กล่าวคือ ทองคําบริสุทธิ หนัก1 ออนซ์ สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง  35ไมล์ และตีเป็นแผ่นได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิว (Bovin, 1990) นอกจากนี้ทองคําบริสุทธิ์จะไม่ทําปฏิกิริยาทางเคมี (Chemical inactive) ได้ง่ายจึงทนต่อการผุกร่อน และไม่เกิดออกซิไดส์กับอากาศ ซึ่งสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอก ที่เป็นประกาย ทําให้ทองคําเป็นที่หมายปองของผู้คนมากที่สุดมาเป็นเวลาช้านาน คนนําทองคํามาตีมูลค่าสําหรับการแลกเปลียนระหว่างประเทศและใช้เป็น

วัตถุดิบสําคัญ สําหรับทําเครืองประดับ เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น ทองคําจึงถูกนําไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจําวันหลากหลายขึ้น อาทิเช่นวงการแพทย์ ทันตกรรม  การสื่อสาร  โทรคมนาคม  คอมพิวเตอร์  เครื่องคิดเลข แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทองคํากลับได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในฐานะ เครื่องประดับ ในบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก ทองคําเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มี คุณสมบัติพื้นฐาน  4 ประการซึ่งช่วยให้ทองคําโดดเด่นและเป็นทีต้องการเหนือโลหะมีค่าชนิดอืนๆ คุณสมบัติดังกล่าวได้แก่


1. ความงดงามเป็นมันวาว สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์และความงามที่ เป็นอมตะแก่ทองคํา การเปลี่ยนเฉดสีทองคําด้วยการนําทองคําไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ เป็นวิธีทีช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคําได้อีกทางหนึ่ง


2. ความหายาก แม้ว่าเราจะพบเห็นทองคําได้ทั่วไป แต่กว่าทีจะได้ทองคํามาสัก  1 ออนซ์   จะต้องถลุงก้อนแร่ทีมีทองคําอยู่เป็น จํานวนหลายตัน ดังนันด้วยค่าใช้จ่ายทีสูงประกอบกับความยากในการได้มาจึงส่งผลให้ทองคํากลายเป ็นโลหะมีค่าซึงไม่มีโลหะ มีค่าชนิดใดในโลกสามารถเทียบเคียงได้


3. ความคงทน ทองคําเป็นโลหะมีค่าซึ่งคงทน ไม่ขึ้นสนิม  ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน ตัวอย่างที่คุ้นเคยกันดีก็คือ มหาสมบัติของฟาโรห์ตุตังคาเมนซึ่ง สิ้นพระชนม์เมือ   1350 ปี ก่อนคริสตกาล พระศพของพระองค์ถูกฝังไว้ในปิระมิดพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติและเครื่องประดับทองคําจํานวนมหาศาล ปัจจุบันเวลาล่วงเลยมานานกว่า  3000 ปี แต่ทรัพย์สมบัติและเครื่องประดับทองคําทีฝังไว้ในปิระมิดยังคงเปล่งประกายเจิดจ้า สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้พบเห็นได้ไม่น้อยทีเดียว


4. การนําไปใช้ประโยชน์ ทองคําเป็นโลหะมีค่าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด ต่อการนํามาทําเครื่องประดับชั้นสูง ทองคํามีความอ่อนและสามารถนํามาขึ้นรูปได้ง่าย ทองคํา 1 ออนซ์สามารถนํามาตีเป็นแผ่นได้กว้างถึง 9 ตารางเมตร  หรือทําเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง  80 กิโลเมตร นอกจากนี้

ทองคํายังสามารถนํามาหลอมใช้ใหม่ได้อีกนับครั้งไม่ถ้วน


empedocles   นักปราชญ์ชาติกรีก ได้เคยกล่าวไว้ว่า ทองคํามีอิทธิพล และอํานาจเหนือเหตุผลสําหรับคนบางคนคํากล่าวนี้เป็นจริงสําหรับมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณเพราะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ได้มุ่งครอบครองทองคํา ได้นํามา ซึ่งการแสวงหาอาณานิคม ทําสงคราม และสร้าง อารยธรรม  ดังจะเห็นได้จากการที่ พระราชวังฟาโรห์แห่งอียิปต์   มีเครื่องใช้ทีทําด้วยทองคํามากมายและแม้แต่ มัมมี ก็ยังมีการปิดทองตามตัว

ในคัมภีร์ ไบเบิล ของคริสต์ศาสนาก็มีเรืองเล่าว่ากษัตริย์ Solomon ทรงประทับราชบัลลังก์ทีทําด้วยทองคําขณะทรงต้อนรับพระราชินี Sheba

นายพล Pisarro  ของสเปน เมื่อได้เห็นพระราชวังทองคําของชนเผา Aztec และInca ได้เข้าบุกปล้นขนมหาสมบัติของชนพื้นเมืองเหล่านั้น   นํากลับสู่ยุโรปจนหมดสิ้น

ปัจจุบัน มนุษย์รู้จักทองคํามาทําอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ต่างๆ แต่ความพยายามใดๆ ที่จะทําให้ทองคําทําปฏิกิริยาเคมีกับ ธาตุอื่น ๆ  เพื่อให้มันเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์มากขึ้นต้องประสบอุปสรรค เพราะทองคําเป็นโลหะทีมีตระกูล noble metal คือมันจะไม่ทําปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆเลย  ดังนัน หากเราใช้ทองคำเคลือบวัสดุอะไรก็ตาม ออกซิเจนในอากาศ จะไม่มีวันเข้าทําปฏิกิริยา ดังนัน ทองคําจะสุกปลังและแวววาวตลอดเวลา และนี่ก็คืออีกหนึงเหตุผลสําคัญทีทําให้มนุษย์ชอบทองคําเป็นชีวิตจิตใจ


ประเทศไทยได้มีการพัฒนาความสามารถในการทําเครื่องประดับมีค่ามาตั้งแต่สมัยโบราณ   ตามหลักฐานต่าง ๆ และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนเครื่องประดับสามารถ บ่งบอกวัฒนธรรม  ประเพณีไทยได้ ในกฏหมายตราสามดวง  ซึ่งเขียนไว้ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที  1  ว่า

ผู้อยู่ในฐานันดรใดสมควรจะมีเครื่องประดับทีมีค่าได้จํานวนมากน้อยเพียงใด และวัสดุที่นํามาใช้ประดิษฐ์เป็นเครื่องประดับนั้น บุคคลฐานะใดที่สามารถสวมใส่ได้ และบุคคลฐานะใดที่ใช้สวมใส่ไม่ได้และถ้าฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษอย่างไร  ซึ่งเรื่องนี้มิใช่เฉพาะแต่เป็นระเบียบหรือกฎที่จะใช้กับเครื่องประดับเท่านัน   แต่รวมถึงผ้านุ่งห่มที่ใช้ด้วยว่าบุคคลในฐานะใดควรนุ่งห่มผ้าที่มีดอก มีลวดลายสีต่าง ๆ  ได้อีกด้วย เป็นต้นว่า เครื่องประดับที่ทําด้วยทองประดับเพชรนั้น กษัตริย์จึงจะใส่ได้ หรือ เครื่องทองคําลงยาราชาวดีนั้นชั้นพระองค์เจ้า ส่วนเครื่องทองคําใช้ได้เฉพาะหม่อมเจ้า ส่วนขุนนางที่ไม่ใช่พระยาก็ใช้เครื่องเงิน ประชาชนทั่วไปใช้เครื่องทองแดง

ศิลาจารึกหลักที  1  ด้านที  1  บรรทัดที  20-22  กล่าวถึงเสรีภาพในการค้าขายของชาวเมืองได้   ความว่า

เพื่อนจูงวัวไปค้า  ขี่ม้าไปขายใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ ค้าเงือนค้าทอง ค้า  ไพร่ฟ้าหน้าใส

จดหมายเหตุของ  ลาลูแบร์ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในคณะราชทูตของประเจ้าหลุยส์ที่  14    กล่าวถึงแหล่งทองคําและ รัตนชาติที่ใช้ทําเครื่องประดับในสมัยนั้นว่า

ไม่มีประเทศใดจะมีชื่อเสียงโด่งดังด้วยเหมืองแร่ทองคํา เท่าประเทศสยาม และ กษัตริย์อยุธยานั้นก็มีความพยายามในการแสวงหาแหล่งแร่ทีมีค่าเหล่านี้อยู่เสมอ โดยขอให้ชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาช่วยสํารวจ เป็นต้นว่า  นายแพทย์แว็งซังต์   ซื่งก็ได้มีการสํารวจพบแหล่งแร่ทองคําและได้เคยพบแร่มีค่าอื่น ๆ ชาวสยามสวมแหวนนิ้วท้าย ๆ  คือนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ของมือทั้งสองข้าง และสมัยนิยมอนุญาตให้สวมสอดได้มากวงเท่าที่จะมากได้  เขาอาจปลงใจซื้อแหวนเพชรก็ได้ในราคาถึงวงละตังครึ่งเอกิว ซึ่งในกรุงปารีสจะมีราคาเพียง2  ซอล เท่านั้น พวกผู้ชายไม่รู้จักใช้สร้อยประดับคอของตน หรือของภรรยาเลย แต่พวกผู้หญิงและเด็ก ๆ ทั้งสองเพศรู้จักใช้ตุ้มหู  ตามปกตินั้นตุ้มหูมีรูปร่างเหมือนอย่างลูกปัวร์ (ลูกแพร์)  ทําด้วยทองคํา  เงินหรือกาไหล่ทอง  เด็กหนุ่มเด็กสาวลูกผู้ดีสวมกําไลข้อมือ   แต่จะสวมอยู่ถึง   6  หรือ  7  ขวบเท่านัน   แล้วยังสวมกําไลทีแขนและทีขาอีกด้วย   เป็นกําไลวง (ก้านแข็ง)  ทําด้วยทองคําหรือกาไหล่ทอง รูปพรรณ คล้าย ๆ กับพวงกุญแจของเราฉะนั้น

นิโคลาส แชร์เวส  ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ตอนปลาย  ได้บรรยายถึงช่างทองสมัยนั้น

ว่า ช่างทองรูปพรรณของประเทศสยามฝีมือดีเท่า ๆ กับของเราเหมือนกันเขาทําเครื่องทองเงิน รูปพรรณได้หลายพันแบบ ล้วนแต่งามๆ ทั้งนั้น การฝังเงินทองทําได้สะอาดสะอ้านมาก และสอดเส้นได้อย่างวิเศษ เขาใช้ นําประสานทองแต่น้อยและสอดถักได้อย่างชํานิชํานาญเหลือเกิน จนยากที่จะมองเห็นว่าตรงไหนเป็นรอยต่อและได้ตั้งข้อสังเกตว่า  ในอดีตราชอาณาจักรอยุธยาคงต้องมีเหมือง

ทองคํา แต่ขุดใช้หมดแล้ว เพราะสิ่งของเครื่องใช้ที่ทําด้วย ทอง มีมากมายเกินกว่าที่จะซื้อทอง มาจากที่อื่น น่าทีจะต้องมีทองของตนเอง

มีบันทึกเกี่ยวกับเครื่องทองจากประเทศไทย โดยผู้เข้าชมนิทรรศการ ชาวฝรั่งเศส ในงาน

แสดงศิลปะ หัตถกรรม ณ ซังป ์ เดอ มาร์ส ประเทศฝรั่งเศส พ.ศ.  2421  ว่าเป็นที่น่าสันนิษฐานว่าประดิษฐกรรมเครื่องเงินทองรูปพรรณของสยามนั้น   บางชิ้นก็น่าจะได้รับรางวัลกะเขาด้วยเหมือนกัน   และควรจะเป็นรางวัลชั้นเยี่ยมเสียด้วย ถ้าได้นําไปตั้งแสดงให้มากชิ้นกว่านี้สักหน่อยแต่วันแรกๆ ของงานแสดงศิลปหัตถกรรมนั้น แล้วก็มีข้อยืนยันได้จากการพิจารณาของบรรดาผู้ซื้อที่ตาแหลม ที่มุ่ง

ไปทางเครื่องเงิน  ทองรูปพรรณของสยามที่มีไว้เพื่อขายนั้น ที่นั่น เครื่องทองรูปพรรณหาได้ไม่ยากเลยช่างทองทําขึ้นได้ในเวลารวดเร็ว และที่นั่นเครื่องประดับกายของสตรีซึ่งเป็นจุดอ่อนของพวกเธอแต่ไหนแต่ไรมาแล้วนั้น ช่างก็ประดิดประดอย งานต่างๆ เพิ่มเติมเข้าให้ได้อีก....ตัวอย่างของเครื่องประดับเหล่านี้  หรือว่าเครื่องนุ่งห่มของสตรี หรือเครื่องประดับพระพุทธรูปน้อยใหญ่   ในพระอุโบสถเหล่าโน้น   จักประกอบเป็นตู้กระจกประเภทเครื่องรูปพรรณอันน่าทัศนามากทีเดียว และอาจเพิ่มจํานวนรางวัล ให้แก่

ประเทศสยามในงานแสดงในอนาคตได้อีกไม่น้อย


อัญมณี


เพชรซีก

คนไทยเรียก  เพชรซีกโดยสื่อความหมายถึงเพชรทีมีการเจียระไนเฉพาะด้านบน   แต่

ด้านล่างแบนลาบ   มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก   เพื่อใช้กันเครื่องประดับลักษณะไทย

ประเพณี หรือไทยเดิม ส่วน เพชรลูก หมายถึงเพชรที่เจียระไนอย่างสากลมีการตัดเหลี่ยมทั้งด้านบน และด้านล่าง เพื่อรับแสงได้มากขึ้น ใช้กับเครื่องประดับทั่วไปในปัจจุบัน ทั้งสองคําเป็นภาษาเรียกกันในหมู่สามัญชนไทย


นพเก้า

ในอดีตพบว่าอัญมณีใช้กับเครื่องประดับและเครื่องใช้ของบุรุษมากกว่าสตรี  โดยความเชื่อที่ว่าเป็นของมีค่า แสดงความยิ่งใหญ่ และอํานาจ บางครั้ง ใช้ฝังไว้กับอาวุธด้วย นอกจากนี้จะพบว่าเครื่องประดับลักษณะไทยนิยมใช้อัญมณีหลายสีโดยเฉพาะเครื่องสูงของพระมหากษัตริย์  ใช้อัญมณี  9  สี เรียกว่า นพรัตน์ ประกอบด้วย

เพชร   ทับทิม   มรกต   บุษราคัม   โกเมน   นิลการ   มุกดาหาร   เพทาย   และไพทูร


เพชรนํ้าดี     มณีแดง

เขียวใสแสงมรกต

เหลืองสวยสด  บุษราคัม

แดงแก่กําโกเมนเอก

สีหมอกเมก    นิลการ

มุกดาหารหมอกมัว

แดงสลัวเพทาย

สังวาลสายไพทูร


แก้วเก้าประการ เป็นเครื่องประดับยศสําหรับพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศานุวงศ์ โดยถือว่าเป็นมงคล ยิ่งจะสวมใส่เฉพาะในงานที่เป็นมงคลเท่านัน ต่อมามีข้าราชการผู้มีบรรดาศักดิเลียนแบบ ทำแหวนนพเก้าใส่ในงานมงคลบ้าง แต่ทําเป็นแบบลงยาราชาวดี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไม่ห้ามถ้าใครจะเอาเพชรพลอยมาทําแหวนนพรัตน์เลียนแบบเครื่องพระยศ

ประเทศไทยเริ่มทําเหมืองทับทิมที่จังหวัดจันทบุรีและตราด   ในปี 1903 ทับทิมที่ได้จากทั้งสองแหล่งเรียกว่า "ทับทิมสยาม"  ปัจจุบันร้อยละ  90 ของทับทิมจากทั่วโลกถูกส่งเข้ามายังประเทศไทยเพื่อเพิ่มคุณค่าโดยการเผาและเจียระไนก่อนที่จะถูกส่งออกต่อไปยังเอเชีย ยุโรป และ อเมริกาในนามของ "ทับทิมจากประเทศไทย" ทับทิมเป็นสัญลักษณ์ของลักษณะเด่น 5 ประการหรือ 5R ได้แก่ สีแดง(Red)

ความหายาก  (Rarity) ความเข้มงวด  (Rigid) ความสว่างไสว(Radiance)

และความรัก  (Romantic) ดังนั้นด้วยคุณลักษณะอันโดดเด่นของทับทิมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้แก่ สมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย กรมส่งเสริมการส่งออก และสมาคมอัญมณีและเครื่องประดับแห่งญีปุ่น จึงได้ดําเนินโครงการส่งเสริมการจําหน่ายทับทิมขึ้นที่ประเทศญีปุ่นในปี 2002


ราชินีแห่งคอรันดัม คือ แซปไฟร์ โดยเฉพาะไพลิน (Blue Sapphire)

(หากเอ่ยถึงแค่เพียงแซปไฟร์ โดยไม่มีคําคุณศัพท์บ่งบอกสี โดยทั่วไปมักจะหมายถึง ไพลิน) ตามประวัติศาสตร์แล้วแซปไฟร์ที่ดีที่สุดพบในแคว้นแคชเมียร์ แซปไฟร์แคชเมียร์ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1881เมื่อเกิดหินถล่มในเขตห่างไกลทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาหิมาลัย หินที่มีแซปไฟร์จึงปรากฏออกมาให้เห็น มหาราชาแห่ง แคชเมียร์ทรงให้ความสนพระทัยต่อแซปไฟร์และทรงออกกฎอันเข้มงวดสําหรับการอนุญาตให้มีการทําเหมืองแซปไฟร์ในทันที การทําเหมืองในบริเวณดังกล่าวดําเนินมาจนถึงปี ค.ศ. 1930 โดยแม้จะสามารถให้แซปไฟร์ที่งดงามที่สุดในโลกเป็นจํานวนมาก แต่ปัจจุบันวัตถุดิบจากแหล่งนี้หมดไปเป็นเวลานานแล้ว แซปไฟร์แคชเมียร์มีสีนําเงินที่นุ่มนวลที่เรียกว่า สีนําเงิน "ดอกคอร์นฟลาเวอร์" (Cornflower) ในประเทศแถบตะวันตกเรียกสีดังกล่าวนี้ว่า  สีน้ำเงิน "กํามะหยี" (Velvety Blue) ปัจจุบันมักจะพบเห็นแซปไฟร์แคชเมียร์ในเครื่องประดับเก่าแก่ในงานประมูลใหญ่ๆ ตามปกติแซปไฟร์แคชเมียร์ไม่ผ่านการเพิ่มคุณค่าด้วยความร้อนแต่อย่างใด

คอรันดัมส่วนใหญ่มักผ่านการเผาซึ่งเป็นกรรมวิธีที่ทํากันมานานหลายสิบปีแล้ว เพื่อปรับปรุงสี  (ทําให้สีเข้มขึนหรืออ่อนลงกว่าสีตามธรรมชาติ) และหลอมเหลว สิ่งเจือปนหรือมลทินภายใน เช่น ผลึกรูไทล์ ทีเรียกว่า   "Silk" ทําให้พลอยมีความใสมากขึ้น การเผาให้สีมีความคงทนพอๆ กับอายุของแซปไฟร์เองเลยทีเดียว แซปไฟร์จากศรีลังกา มาดากัสการ์ ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศมักถูกส่งเข้ามาเผา ปรับปรุงสีความใส และเจียระไนในประเทศไทย


ความเชื่อเกี่ยวกับพลอย

ในประเทศไทย อินเดีย ศรีรังกา พม่า มีจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงอาภรณ์ของสตรีที่ดูละลานตาไปด้วยเครื่องเพชรพลอย  อาทิ สร้อยคอ ต่างหู เครื่องราง กําไลมือ  กําไลเท้า  เข็มขัดอันวิจิตร

ชาวไอยคุปต์  ถือว่า ดวงตาที่ทํามาจากไพฑูรย์  อันเป็นพลอยสัญลักษณ์แห่งความสัตย์ และความโปร่งใสของจิตว่า เป็นเครื่องรางแห่งพลังอํานาจอันยิงใหญ่  

ชาวเปรู  กลับมีความเชื่อถือมรกตมาก เชื่อว่า มรกต ช่วยระงับพิษ และทําให้อยู่ยงคงกระพัน และเชื่อว่า ในมรกตมีเทพธิดาสถิตอยู่และมีการสร้างศาลขนาดใหญ่เพื่อตั้ง มรกต ไว้บูชาด้วย

ในประเทศกรีก รูปสลักบนพลอยมีมากมายหลายรูปแบบ เริ่มจากรูปแมลงสการับ ของไอยคุปต์ เป็นที่นิยมในกรีก ช่วงกลางพุทธศตวรรษที 10  แต่พอล่วง เข้าพุทธศตวรรษที่  11  หรือ  12  ก็หันมานิยมรูปสลักของทวยเทพในตํานานโดยเฉพาะรูปสลักของเฮอคิวลิส ซึ่งได้กลายเป็นเครื่องรางสําคัญเชื่อกันว่า   ผู้ที่สวมใส่รูปสลักเทพเจ้าจะสามารถถ่ายทอดพลังจากเทพเหล่านั้นได้กล่าวกันว่า แม้แต่ ยูลีอุส ซีซาร์   เองก็เป็นนักสะสมเพชรพลอยตัวยง เขาได้บริจาคเครื่องเพชรทั้งชุดให้แก่วิหารของ วีนัส เทวีความงามของชาวโรมัน แห่งเยเนตริกซ์ และยัง เคยซื้อไข่มุกเม็ดหนึ่งในราคาที่สูงมาก แสดงให้เห็นว่า ไข่มุก ในสมัยนั้นมีค่ามาก สําหรับ อัญมณีที่นิยมสะสมในสมัยนันก็ เช่น โกเมน คาร์เนเลียน อะเมธิสส์     บุษราคัม เพอริดอต และเชื่อว่า แจสเพอร์  สีแดงกับ คาร์เนเลียน มีพลังในทางคุณไสย และเชื่อว่า หากดื่มเหล่าจากจอก อะเมธิสต์ จะไม่เมา

ความเชื่อเกี่ยวกับ อะเมธิสต์ จากตํานานของเทพเจ้าแบคคัส  ครั้งหนึ่งเขาได้สั่งให้เสือของเขากินมนุษย์คนแรกที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นสาวน้อยนามว่า อะเมธิสต์ ซึ่งกําลังเดินทางไปสักการะ ไดอานาหรือเทพธิดาวีนัส เทวีเจ้าแห่งดวงจันทร์ เธอได้อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเทวี ไดอานา ด้วยความหวาดกลัว เทวีจึงได้เสกให้เธอกลายเป็นผลึกแก้วใส เมื่อแบคคัส ได้สติก็เกิดความละอายใจจึงรินเหล้าองุ่นลงบนรูปปั้นจากนั้น สีของรูปปันผลึกใส จึงได้กลายเป็นสีม่วงที่ถูกเรียกว่า อะเมธิสต์ ตราบจนทุก

วันนี้

ในประเทศจีน ขุนนางในราชสํานักจีนจะใส่อัญมณีเพื่อบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิของตน โดยขุนนางอันดับหนึ่งจะใส่อัญมณีสีแดง เช่น ทับทิมและทัวร์มาลีนแดง อันดับสอง ใส่หินปะการังและโกเมน   อันดับสาม ใส่อัญมณีสีนําเงิน อันดับสี่ นิยมผลึกหินเขียวหนุมาน อันดับห้า  เป็นหินสีขาวไม่ระบุชนิด   อัญมณีที่ตกทอดจากราชวงศ์ หมิง ประเทศจีน จนถึงปัจจุบันบ่งบอกว่า คนจีน นิยมผลึกในตระกูลหิน

เขียวหนุมาน มากกว่าเป็นอัญมณีราคาเพง  โดยเฉพาะหยกขาว  เป็นทีนิยมและถือเป็นตัวแทนอัญมณีจากสวรรค์  มีเรื่องเล่าว่าชาวจีนที่ตกหน้าผา ซึ่งตัวเขาไม่ได้รับอันตรายเลยแต่หยกที่พกไว้กลับมีรอยร้าวแทน

ในประเทศอินเดีย พวกพราหมณ์เชื่อว่าหากบูชาพระกฤษณะ ด้วย ทับทิมจะได้เกิดเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ผลบุญที่ตอบแทนจะขึ้นอยู่กับขนาดของ ทับทิม ด้วย

นอกจากนี้ชาวอินเดียยังนับถือ  เพชร โดยเชื่อว่า เพชร สามารถขับพิษร้าย ช่วยให้สามีภรรยาคืนดีกัน   ช่วยให้บังเกิดโชคลาภและประสบความสําเร็จชาวอินเดียบางกลุ่มเชื่อว่า

เพชร  คือ พระธาตุของพระพุทธเจ้า

ความเชื่อเกี่ยวกับทับทิม กล่าวกันว่า ในยุคกลางจะสวมทับทิมที่มือซ้าย เพราะจะปกป้องผู้สวมใส่จากสิ่งชั่วร้ายและนําความมั่งคั่งมาให้ หากทองคําคือโลหะลํ้าค่าที่สุด ทับทิมก็เปรียบเสมือนราชาแห่งอัญมณี ซึ่งถูกกล่าวขานถึงมากที่สุดนับตังแต่มีการบันทึกเรื่องราวเกียวกับอัญมณีมานานนับพันปี

ต้นศตวรรษที 11 al-Biruni นักแร่วิทยาชาวเปอร์เซีย ยกย่องว่าทับทิมเป็นยอดแห่งอัญมณีทั้งในด้านสีสัน และความงาม ในปี 1550 Benvenuto Cellini ช่างทองชาวอิตาเลียนได้บันทึกไว้ว่าราคาของทับทิมที่งามไร้ที่ตินั้นจึงอาจสูงกว่าเพชรในขนาดเดียวกันถึง 8 เท่า ขณะที่  Max Bauer ได้บันทึกไว้ในหนังสือ  Precious Stones ในปี  1894 ว่า ทับทิมมีราคาสูงเป็นสองเท่าของเพชรในขนาดเดียวกัน


แซปไฟร์  (Sapphire) (มาจากภาษากรีก " Sappheiros" หมายถึง  สีนําเงิน) มีความสําคัญในหลากหลายสังคมในอดีต  อาทิ ชาวยิว   เชือว่าอัญมณีสีนําเงินนี้เป็นเสมือนสารลับจากเบื้องบน และชาวเปอร์เชียคิดว่าโลกวางอยู่เหนือแซปไฟร์ขนาดมหึมา และท้องฟ้าคือ ภาพสะท้อนของสีสันอันงดงามของแซปไฟร์นั่นเอง อย่างไรก็ตามนักอัญมณีศาสตร์มองเห็นแซปไฟร์เป็นแค่เพียงผลึกอะลูมิเนียมออกไซด์ (หรือทีรู้จักกันในนามคอรันดัม  (Corundum)) ซึ่งทั้งหมดเป็นหินชนิดเดียวกัน แตกต่างกันเพียงแค่สี โดยทับทิม ซึ่งเป็น "ราชา" แห่งคอรันดัมเป็นคอรันดัมสีแดง คอรันดัมสีอื่นๆ นอกเหนือจากสีแดงเรียกว่าแซปไฟร์ แต่คําว่า "แซปไฟร์" มักหมายถึง ไพลิน   ส่วนแซปไฟร์สีอื่นๆเรียกว่า แซปไฟร์สีแฟนซีแซปไฟร์สีแฟนซีมีสีต่างๆ   เช่น เหลือง  เขียว  ส้ม  และชมพู  สีนํ้าเงินของไพลินเกิดจากไททาเนียมและเหล็กปะปนกัน อย่างไรก็ตามความแตกต่างของปริมาณและส่วนประกอบของเหล็ก ไททาเนียม และโครเมียม ทําให้สีของแซปไฟร์มีหลากหลายสี  เหล็กทําให้แซปไฟร์มีสีเหลืองและเขียว แซปไฟร์สีชมพูมีโครเมียมน้อยกว่าทับทิม ส่วนแซปไฟร์สีส้มอมชมพูเรียกว่า แพดพาแรดชา ในศรีลังกาหมายถึง  "สี

ดอกบัว" แซปไฟร์ชนิดนี้ที่มีคุณภาพดีที่สุดนับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์และพิเศษในโลกอัญมณีผู้คมากมายแสวงหาอัญมณีชนิดนี้ที่มีสีบริสุทธิเพื่ออวดความงดงามและความมั่งคั่ง ทั้งยังมีความเชื่อกันมาเป็นเวลานานแล้วว่าแซปไฟร์มีอํานาจอันลําลึกมากมาย อาทิ อํานาจในการปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่จากยาพิษและวิญญาณชั่วร้าย เป็นเครื่องราง สําหรับชาวราศีพฤษภและผู้ที่เกิดในเดือนกันยายน นอกจากนี้แซปไฟร์ยังเป็นของขวัญสําหรับวันครบรอบแต่งงานปีที 5 และ 45 อีกด้วย อย่างไรก็ตามสําหรับสตรีในยุคปัจจุบันความงามและความสามารถในการนําไปใช้ประโยชน์อันหลากหลายของอัญมณี

อันงามลําเลิศชนิดนี้ ทําให้แซปไฟร์กลายเป็นตัวเลือกสุดวิเศษสําหรับเครื่องประดับทุกประเภทส่วน   ชนพื้นเมืองใน นิวซีแลนด์ เชื่อว่า หยกเขียว ทีเรียกว่า  ติ กิ เป็นหินนําโชค และเชื่อว่า  ความรู้จากคนรุ่นก่อนถูกบันทึกอยู่ในหยกเขียว   จึงมักจะมอบมันให้เป็นมรดก


การลงยา


จากตําราพระเครื่องต้น ซึ่งแต่งขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชระบุว่าเครื่องต้นที่เป็นเครื่องประดับของพระเจ้าแผ่นดิน   9  อย่างนั้น มี  2 อย่างทีเป็นเครื่องลงยาราชาวดีคือทองพระกรลงยาราชาวดี  ประดับพลอย และฉลองพระบาทลงยาราชาวดี เป็นหลักฐานว่า เครื่องทองทีลงยาราชาวดีนั้น จะใช้ได้เฉพาะพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น การลงยาราชาวดี คือลงยาสีฟ้า เป็นงานที่ต่างไปจากเครื่องทองลงยาแบบเดิม  ซึ่งมีเพียงสองสี คือ สีแดง กับ สีเขียว เท่านัน โดยการลงยาของไทย   จะใช้เส้นลวดขดเป็นลายแล้วลงยาไปตามลายนัน   ต่อมาได้พัฒนามาเป็นการขุดลงไปในเนื้อวัตถุ แล้วลงยาลงไปตามร่องเส้นทีขุดไว้ การลงยาราชาวดี (ลายสีฟ้า) นิยมมากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.  2525  ให้คํานิยามไว้ว่า ราชาวดี คือการลงยาชนิดหนึ่งสําหรับเคลือบทองให้เป็นสีฟ้า (เปอร์เซีย) ตามประวัติความเป็นมาของการลงยาสีนัน สันนิษฐานว่ามีแหล่งกําเนิดอยู่ตะวันออกกลาง เป็นอิทธิพลของชาวอาหรับ และเปอร์เซีย ซึ่งมาติดต่อค้าขายกับไทย ทําให้ไทยรับเอาวิธีการทําลงสีมาใช้กับการทําเครื่องใช้และเครื่องประดับ เริ่มมีปรากฏบันทึกเป็นหลักฐานสมัยอยุธยา กล่างถึงเครื่องราชบรรณาการลงยาที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระราชทานแก่  พระเจ้าหลุยส์ที  14  แห่งฝรั่งเศส และตัวอย่างที่เห็นชัดเจน  คือเครื่องราชูปโภคทีสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 จะนิยมทําด้วยเครื่องลงยาราชาวดีนอกจากนี้ภายหลังยังใช้ทําเครื่องประดับยศของเจ้านายและขุนนางต่างๆ ตลอดจน

เครื่องประกอบสมณศักดิของพระภิกษุสงฆ์ด้วยรุ่นบุกเบิก


ข้อมูลจาก

-โครงการศึกษาความเป็นไทย  เพือการประยุกต์ใช้ในการออกแบบเครื่องประดับภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม / คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

-รัตนชาติมีพลังอัศจรรย์  / ดร. ธรรมทิพย์ ไขหาญฟ้า

-หินนําโชค / นวลปราง   ฉ่องใจ

-เพชรพลอยเพือสิริมงคล /  มณีขจิต

-สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) / ดร. สุทัศน์ ยกส้าน

-สถาบันวิจัยและพัฒนาเครื่องประดับแห่งชาติ

 
 
 

ความคิดเห็น


bottom of page