พบ 20 ผลลัพธ์เมื่อไม่ระบุค่าการค้นหา
- Sacred Thai talisman by The RosaryTMK
Wat Nangnai Thammikaram, also known as Wat Nangnai, was established around 1850 by a consort of King Rama III as a dedication to royal merit. The temple was granted Wisung Kham Sima (the ecclesiastical boundary for ordination ceremonies) in 1910 and has undergone significant restoration since 1925 during the time of Preceptor Num Thammaramo (Luang Pho Num, the abbot). The ordination hall (U-bo-sod) retains its original style due to careful maintenance, with a major renovation taking place in 1963. The temple also features an important structure called Hor Burapha Jarn, which houses artifacts and photographs of Luang Pho Num and other revered teachers, deeply respected by the local community. Around 1910, on the banks of the Noi River in San Chao Rong Thong Sub-district, Wiset Chai Chan District, Ang Thong Province, Mr. Chuen Kid Yee began establishing a small gold shop under the shade of a grand tamarind tree, believed to be imbued with the power of nature. Despite having only a few tools, he crafted invaluable masterpieces, earning him the name “The Goldsmith Beneath the Tamarind Tree”. Now in the hands of the fourth generation, who have inherited the true spirit of goldsmithing for over 100 years, they have absorbed the power and enchantment from this ancient tamarind tree. With this legacy, they have decided to extend the branches of the giant tamarind tree to new lands in Ayutthaya and Bangkok, while preserving the unique craftsmanship and indomitable spirit of true goldsmithing—paired with a lasting, unforgettable charm that can be found nowhere else.
- ต้นมะขามช่างทอง 1910
ช่างทองรู้ดีในทุกรายละเอียด คือศิลป์ละเมียดจากใจที่อ่อนหวาน ของขวัญหนึ่งชิ้นสะท้อนวันวาน พรมผ่านวันหน้า...คุณค่านิรันดร์ เมื่อราวพุทธศักราช 2453 ณ. ริมฝั่งแม่น้ำน้อย ตําบลศาลเจ้าโรงทองอําเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง นายฉินกิตหยี่ ได้มาตั้งรกราก ริเริ่มร้านทองเล็กๆ ใต้ต้นมะขามใหญ่ สร้างงานผีมือด้วย ทอง นาก เงิน ด้วยเครื่องมือน้อยชิ้นเรียบง่าย แต่รุ่มรวยด้วยพลังสร้างสรรค์ จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในชื่อช่างทองโคนมะขาม ต้นมะขามหยั่งรากลึกลงในผืนดินเดิม เมื่อ ยินดี ลูกสาวคนที่หก ของนายฉินกิตหยี่ และนางเป้าปี รับสืบทอดอาชีพช่างทองด้วยใจรัก มุ่งมัน และแน่วแน่ ด้วยกําลังใจ และพลังสร้างสรรค์ของคนคู่กายผู้มองการไกล ร้านต้นมะขามช่างทอง ของนางยินดี และนายใช้ จึงได้พิสูจน์คุณค่าดังเดิมให้เป็นที่ประจักษ์ .........รังสรรค์งานฝีมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว.......รักษาคุณค่าความงามตามธรรมชาติของเนื้อทองแท้........ซื่อสัตย์ เที่ยงธรรมต่อลูกค้า ต้นมะขามยังคงแผ่รากหยั่งลึก ณ ริมฝั่งแม่นําน้อย ผลัดใบ แตกกิ่งมิได้หยุดยั้ง ฟองจันทร์ หลานสาวคนโตของตา ยาย ลูกสาวคนแรกของพ่อแม่ ผู้ถือกําเนิดและเติบใหญ่ใต้ร่มมะขาม ท่ามกลางบรรยากาศการรังสรรค์งานศิลปะด้วยฝีมืออันมีเอกลักษณ์ตั้งแต่การหลอม ตี ดึง ร้อย เชื่อมข้อออกแบบลาย สลัก ขัดเงา เธอได้เฝ้าสังเกต ซึมซับฝีกฝนการทําทองด้วยความมุ่งมั่น ดังนั้น เมื่อพ่อจากไปก่อนวัยอันควร ในปี พ.ศ. 2500 เธอจึงได้เข้ารับหน้าที่สืบทอดอาชีพช่างทองต่อจากพ่อได้อย่างสมบูรณ์ และประสบความสําเร็จมาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ กว่า 100 ปีผ่านไป เมล็ดจากม ะขามต้นเดิม เดินทางมาหยั่งรากลงที่อยุธยา.....อดีตราชธานี และกรุงเทพมหานคร ใต้ร่มมะขามต้ นใหม่นี้ ผู้สืบสกุล จากร้านต้นมะขามช่างทองแห่งเดิมจะได้ก่อตั้งกิจการ เพื่อสืบทอดจิตวิญญาณการรังสรรค์ศิลปะ จากเนื้อทองแท้ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะของตระกูลต่อไป สัมผัสงานฝีมืออันประณีตจากช่างทองผู้เชี่ยวชาญเครื่องประดับทองแบบแฮนด์เมด ทุกชิ้นสะท้อนถึงงานฝีมือที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ช่างทองของเราใส่ใจในทุกรายละเอียด ใช้วัสดุคุณภาพสูง เพื่อให้ได้ความงดงามและความคงทนที่ยาวนาน เมื่อคุณเลือกงานแฮนด์เมดจาก ต้นมะขามช่างทอง คุณไม่ได้แค่เลือกความงามที่เป็นเอกลักษณ์ แต่คุณยังมีส่วนร่วมสนับสนุนช่างฝีมือท้องถิ่น รักษามรดกทางวัฒนธรรม และเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่มีความหมาย จาก อ่างทอง ถึง อยุธยา กรุงเทพฯ และลูกค้า ออนไลน์ทั่วประเทศ คุณจะสัมผัสได้ถึงมาตรฐานเดียวกัน คุณภาพเดียวกัน และความใส่ใจแบบเดียวกันภายใต้ชื่อ ✨ ต้นมะขามช่างทอง ✨
- ทองคำ
ทองคํา มีความหมายถึง ความรํ่ารวยมั่งคั่ง ความอบอุ่น จัดอยู่ในกลุ่มโลหะมีค่า มีสัญลักษณ์ทางเคมี คือ Au มาจากภาษาละติน คือ Aurum เป็นโลหะมีค่าที่มีความเหนี่ยว (Ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป(Malleability) คือ จะยืดขยาย (Extend) เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทางโดยไม่เกิดการปริ แตก สูงสุด กล่าวคือ ทองคําบริสุทธิ หนัก1 ออนซ์ สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 35ไมล์ และตีเป็นแผ่นได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิว (Bovin, 1990) นอกจากนี้ทองคําบริสุทธิ์จะไม่ทําปฏิกิริยาทางเคมี (Chemical inactive) ได้ง่ายจึงทนต่อการผุกร่อน และไม่เกิดออกซิไดส์กับอากาศ ซึ่งสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอก ที่เป็นประกาย ทําให้ทองคําเป็นที่หมายปองของผู้คนมากที่สุดมาเป็นเวลาช้านาน คนนําทองคํามาตีมูลค่าสําหรับการแลกเปลียนระหว่างประเทศและใช้เป็น วัตถุดิบสําคัญ สําหรับทําเครืองประดับ เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น ทองคําจึงถูกนําไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจําวันหลากหลายขึ้น อาทิเช่นวงการแพทย์ ทันตกรรม การสื่อสาร โทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ เครื่องคิดเลข แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทองคํากลับได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในฐานะ เครื่องประดับ ในบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก ทองคําเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มี คุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการซึ่งช่วยให้ทองคําโดดเด่นและเป็นทีต้องการเหนือโลหะมีค่าชนิดอืนๆ คุณสมบัติดังกล่าวได้แก่ 1. ความงดงามเป็นมันวาว สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์และความงามที่ เป็นอมตะแก่ทองคํา การเปลี่ยนเฉดสีทองคําด้วยการนําทองคําไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ เป็นวิธีทีช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคําได้อีกทางหนึ่ง 2. ความหายาก แม้ว่าเราจะพบเห็นทองคําได้ทั่วไป แต่กว่าทีจะได้ทองคํามาสัก 1 ออนซ์ จะต้องถลุงก้อนแร่ทีมีทองคําอยู่เป็น จํานวนหลายตัน ดังนันด้วยค่าใช้จ่ายทีสูงประกอบกับความยากในการได้มาจึงส่งผลให้ทองคํากลายเป ็นโลหะมีค่าซึงไม่มีโลหะ มีค่าชนิดใดในโลกสามารถเทียบเคียงได้ 3. ความคงทน ทองคําเป็นโลหะมีค่าซึ่งคงทน ไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน ตัวอย่างที่คุ้นเคยกันดีก็คือ มหาสมบัติของฟาโรห์ตุตังคาเมนซึ่ง สิ้นพระชนม์เมือ 1350 ปี ก่อนคริสตกาล พระศพของพระองค์ถูกฝังไว้ในปิระมิดพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติและเครื่องประดับทองคําจํานวนมหาศาล ปัจจุบันเวลาล่วงเลยมานานกว่า 3000 ปี แต่ทรัพย์สมบัติและเครื่องประดับทองคําทีฝังไว้ในปิระมิดยังคงเปล่งประกายเจิดจ้า สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้พบเห็นได้ไม่น้อยทีเดียว 4. การนําไปใช้ประโยชน์ ทองคําเป็นโลหะมีค่าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด ต่อการนํามาทําเครื่องประดับชั้นสูง ทองคํามีความอ่อนและสามารถนํามาขึ้นรูปได้ง่าย ทองคํา 1 ออนซ์สามารถนํามาตีเป็นแผ่นได้กว้างถึง 9 ตารางเมตร หรือทําเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 80 กิโลเมตร นอกจากนี้ ทองคํายังสามารถนํามาหลอมใช้ใหม่ได้อีกนับครั้งไม่ถ้วน empedocles นักปราชญ์ชาติกรีก ได้เคยกล่าวไว้ว่า ทองคํามีอิทธิพล และอํานาจเหนือเหตุผลสําหรับคนบางคนคํากล่าวนี้เป็นจริงสําหรับมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณเพราะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ได้มุ่งครอบครองทองคํา ได้นํามา ซึ่งการแสวงหาอาณานิคม ทําสงคราม และสร้าง อารยธรรม ดังจะเห็นได้จากการที่ พระราชวังฟาโรห์แห่งอียิปต์ มีเครื่องใช้ทีทําด้วยทองคํามากมายและแม้แต่ มัมมี ก็ยังมีการปิดทองตามตัว ในคัมภีร์ ไบเบิล ของคริสต์ศาสนาก็มีเรืองเล่าว่ากษัตริย์ Solomon ทรงประทับราชบัลลังก์ทีทําด้วยทองคําขณะทรงต้อนรับพระราชินี Sheba นายพล Pisarro ของสเปน เมื่อได้เห็นพระราชวังทองคําของชนเผา Aztec และInca ได้เข้าบุกปล้นขนมหาสมบัติของชนพื้นเมืองเหล่านั้น นํากลับสู่ยุโรปจนหมดสิ้น ปัจจุบัน มนุษย์รู้จักทองคํามาทําอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ต่างๆ แต่ความพยายามใดๆ ที่จะทําให้ทองคําทําปฏิกิริยาเคมีกับ ธาตุอื่น ๆ เพื่อให้มันเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์มากขึ้นต้องประสบอุปสรรค เพราะทองคําเป็นโลหะทีมีตระกูล noble metal คือมันจะไม่ทําปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆเลย ดังนัน หากเราใช้ทองคำเคลือบวัสดุอะไรก็ตาม ออกซิเจนในอากาศ จะไม่มีวันเข้าทําปฏิกิริยา ดังนัน ทองคําจะสุกปลังและแวววาวตลอดเวลา และนี่ก็คืออีกหนึงเหตุผลสําคัญทีทําให้มนุษย์ชอบทองคําเป็นชีวิตจิตใจ ประเทศไทยได้มีการพัฒนาความสามารถในการทําเครื่องประดับมีค่ามาตั้งแต่สมัยโบราณ ตามหลักฐานต่าง ๆ และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนเครื่องประดับสามารถ บ่งบอกวัฒนธรรม ประเพณีไทยได้ ในกฏหมายตราสามดวง ซึ่งเขียนไว้ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที 1 ว่า ผู้อยู่ในฐานันดรใดสมควรจะมีเครื่องประดับทีมีค่าได้จํานวนมากน้อยเพียงใด และวัสดุที่นํามาใช้ประดิษฐ์เป็นเครื่องประดับนั้น บุคคลฐานะใดที่สามารถสวมใส่ได้ และบุคคลฐานะใดที่ใช้สวมใส่ไม่ได้และถ้าฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้มิใช่เฉพาะแต่เป็นระเบียบหรือกฎที่จะใช้กับเครื่องประดับเท่านัน แต่รวมถึงผ้านุ่งห่มที่ใช้ด้วยว่าบุคคลในฐานะใดควรนุ่งห่มผ้าที่มีดอก มีลวดลายสีต่าง ๆ ได้อีกด้วย เป็นต้นว่า เครื่องประดับที่ทําด้วยทองประดับเพชรนั้น กษัตริย์จึงจะใส่ได้ หรือ เครื่องทองคําลงยาราชาวดีนั้นชั้นพระองค์เจ้า ส่วนเครื่องทองคําใช้ได้เฉพาะหม่อมเจ้า ส่วนขุนนางที่ไม่ใช่พระยาก็ใช้เครื่องเงิน ประชาชนทั่วไปใช้เครื่องทองแดง ศิลาจารึกหลักที 1 ด้านที 1 บรรทัดที 20-22 กล่าวถึงเสรีภาพในการค้าขายของชาวเมืองได้ ความว่า เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขายใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ ค้าเงือนค้าทอง ค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส จดหมายเหตุของ ลาลูแบร์ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในคณะราชทูตของประเจ้าหลุยส์ที่ 14 กล่าวถึงแหล่งทองคําและ รัตนชาติที่ใช้ทําเครื่องประดับในสมัยนั้นว่า ไม่มีประเทศใดจะมีชื่อเสียงโด่งดังด้วยเหมืองแร่ทองคํา เท่าประเทศสยาม และ กษัตริย์อยุธยานั้นก็มีความพยายามในการแสวงหาแหล่งแร่ทีมีค่าเหล่านี้อยู่เสมอ โดยขอให้ชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาช่วยสํารวจ เป็นต้นว่า นายแพทย์แว็งซังต์ ซื่งก็ได้มีการสํารวจพบแหล่งแร่ทองคําและได้เคยพบแร่มีค่าอื่น ๆ ชาวสยามสวมแหวนนิ้วท้าย ๆ คือนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ของมือทั้งสองข้าง และสมัยนิยมอนุญาตให้สวมสอดได้มากวงเท่าที่จะมากได้ เขาอาจปลงใจซื้อแหวนเพชรก็ได้ในราคาถึงวงละตังครึ่งเอกิว ซึ่งในกรุงปารีสจะมีราคาเพียง2 ซอล เท่านั้น พวกผู้ชายไม่รู้จักใช้สร้อยประดับคอของตน หรือของภรรยาเลย แต่พวกผู้หญิงและเด็ก ๆ ทั้งสองเพศรู้จักใช้ตุ้มหู ตามปกตินั้นตุ้มหูมีรูปร่างเหมือนอย่างลูกปัวร์ (ลูกแพร์) ทําด้วยทองคํา เงินหรือกาไหล่ทอง เด็กหนุ่มเด็กสาวลูกผู้ดีสวมกําไลข้อมือ แต่จะสวมอยู่ถึง 6 หรือ 7 ขวบเท่านัน แล้วยังสวมกําไลทีแขนและทีขาอีกด้วย เป็นกําไลวง (ก้านแข็ง) ทําด้วยทองคําหรือกาไหล่ทอง รูปพรรณ คล้าย ๆ กับพวงกุญแจของเราฉะนั้น นิโคลาส แชร์เวส ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ตอนปลาย ได้บรรยายถึงช่างทองสมัยนั้น ว่า ช่างทองรูปพรรณของประเทศสยามฝีมือดีเท่า ๆ กับของเราเหมือนกันเขาทําเครื่องทองเงิน รูปพรรณได้หลายพันแบบ ล้วนแต่งามๆ ทั้งนั้น การฝังเงินทองทําได้สะอาดสะอ้านมาก และสอดเส้นได้อย่างวิเศษ เขาใช้ นําประสานทองแต่น้อยและสอดถักได้อย่างชํานิชํานาญเหลือเกิน จนยากที่จะมองเห็นว่าตรงไหนเป็นรอยต่อและได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในอดีตราชอาณาจักรอยุธยาคงต้องมีเหมือง ทองคํา แต่ขุดใช้หมดแล้ว เพราะสิ่งของเครื่องใช้ที่ทําด้วย ทอง มีมากมายเกินกว่าที่จะซื้อทอง มาจากที่อื่น น่าทีจะต้องมีทองของตนเอง มีบันทึกเกี่ยวกับเครื่องทองจากประเทศไทย โดยผู้เข้าชมนิทรรศการ ชาวฝรั่งเศส ในงาน แสดงศิลปะ หัตถกรรม ณ ซังป ์ เดอ มาร์ส ประเทศฝรั่งเศส พ.ศ. 2421 ว่าเป็นที่น่าสันนิษฐานว่าประดิษฐกรรมเครื่องเงินทองรูปพรรณของสยามนั้น บางชิ้นก็น่าจะได้รับรางวัลกะเขาด้วยเหมือนกัน และควรจะเป็นรางวัลชั้นเยี่ยมเสียด้วย ถ้าได้นําไปตั้งแสดงให้มากชิ้นกว่านี้สักหน่อยแต่วันแรกๆ ของงานแสดงศิลปหัตถกรรมนั้น แล้วก็มีข้อยืนยันได้จากการพิจารณาของบรรดาผู้ซื้อที่ตาแหลม ที่มุ่ง ไปทางเครื่องเงิน ทองรูปพรรณของสยามที่มีไว้เพื่อขายนั้น ที่นั่น เครื่องทองรูปพรรณหาได้ไม่ยากเลยช่างทองทําขึ้นได้ในเวลารวดเร็ว และที่นั่นเครื่องประดับกายของสตรีซึ่งเป็นจุดอ่อนของพวกเธอแต่ไหนแต่ไรมาแล้วนั้น ช่างก็ประดิดประดอย งานต่างๆ เพิ่มเติมเข้าให้ได้อีก....ตัวอย่างของเครื่องประดับเหล่านี้ หรือว่าเครื่องนุ่งห่มของสตรี หรือเครื่องประดับพระพุทธรูปน้อยใหญ่ ในพระอุโบสถเหล่าโน้น จักประกอบเป็นตู้กระจกประเภทเครื่องรูปพรรณอันน่าทัศนามากทีเดียว และอาจเพิ่มจํานวนรางวัล ให้แก่ ประเทศสยามในงานแสดงในอนาคตได้อีกไม่น้อย อัญมณี เพชรซีก คนไทยเรียก เพชรซีกโดยสื่อความหมายถึงเพชรทีมีการเจียระไนเฉพาะด้านบน แต่ ด้านล่างแบนลาบ มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพื่อใช้กันเครื่องประดับลักษณะไทย ประเพณี หรือไทยเดิม ส่วน เพชรลูก หมายถึงเพชรที่เจียระไนอย่างสากลมีการตัดเหลี่ยมทั้งด้านบน และด้านล่าง เพื่อรับแสงได้มากขึ้น ใช้กับเครื่องประดับทั่วไปในปัจจุบัน ทั้งสองคําเป็นภาษาเรียกกันในหมู่สามัญชนไทย นพเก้า ในอดีตพบว่าอัญมณีใช้กับเครื่องประดับและเครื่องใช้ของบุรุษมากกว่าสตรี โดยความเชื่อที่ว่าเป็นของมีค่า แสดงความยิ่งใหญ่ และอํานาจ บางครั้ง ใช้ฝังไว้กับอาวุธด้วย นอกจากนี้จะพบว่าเครื่องประดับลักษณะไทยนิยมใช้อัญมณีหลายสีโดยเฉพาะเครื่องสูงของพระมหากษัตริย์ ใช้อัญมณี 9 สี เรียกว่า นพรัตน์ ประกอบด้วย เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิลการ มุกดาหาร เพทาย และไพทูร เพชรนํ้าดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองสวยสด บุษราคัม แดงแก่กําโกเมนเอก สีหมอกเมก นิลการ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพทูร แก้วเก้าประการ เป็นเครื่องประดับยศสําหรับพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศานุวงศ์ โดยถือว่าเป็นมงคล ยิ่งจะสวมใส่เฉพาะในงานที่เป็นมงคลเท่านัน ต่อมามีข้าราชการผู้มีบรรดาศักดิเลียนแบบ ทำแหวนนพเก้าใส่ในงานมงคลบ้าง แต่ทําเป็นแบบลงยาราชาวดี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไม่ห้ามถ้าใครจะเอาเพชรพลอยมาทําแหวนนพรัตน์เลียนแบบเครื่องพระยศ ประเทศไทยเริ่มทําเหมืองทับทิมที่จังหวัดจันทบุรีและตราด ในปี 1903 ทับทิมที่ได้จากทั้งสองแหล่งเรียกว่า "ทับทิมสยาม" ปัจจุบันร้อยละ 90 ของทับทิมจากทั่วโลกถูกส่งเข้ามายังประเทศไทยเพื่อเพิ่มคุณค่าโดยการเผาและเจียระไนก่อนที่จะถูกส่งออกต่อไปยังเอเชีย ยุโรป และ อเมริกาในนามของ "ทับทิมจากประเทศไทย" ทับทิมเป็นสัญลักษณ์ของลักษณะเด่น 5 ประการหรือ 5R ได้แก่ สีแดง(Red) ความหายาก (Rarity) ความเข้มงวด (Rigid) ความสว่างไสว(Radiance) และความรัก (Romantic) ดังนั้นด้วยคุณลักษณะอันโดดเด่นของทับทิมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้แก่ สมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย กรมส่งเสริมการส่งออก และสมาคมอัญมณีและเครื่องประดับแห่งญีปุ่น จึงได้ดําเนินโครงการส่งเสริมการจําหน่ายทับทิมขึ้นที่ประเทศญีปุ่นในปี 2002 ราชินีแห่งคอรันดัม คือ แซปไฟร์ โดยเฉพาะไพลิน (Blue Sapphire) (หากเอ่ยถึงแค่เพียงแซปไฟร์ โดยไม่มีคําคุณศัพท์บ่งบอกสี โดยทั่วไปมักจะหมายถึง ไพลิน) ตามประวัติศาสตร์แล้วแซปไฟร์ที่ดีที่สุดพบในแคว้นแคชเมียร์ แซปไฟร์แคชเมียร์ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1881เมื่อเกิดหินถล่มในเขตห่างไกลทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาหิมาลัย หินที่มีแซปไฟร์จึงปรากฏออกมาให้เห็น มหาราชาแห่ง แคชเมียร์ทรงให้ความสนพระทัยต่อแซปไฟร์และทรงออกกฎอันเข้มงวดสําหรับการอนุญาตให้มีการทําเหมืองแซปไฟร์ในทันที การทําเหมืองในบริเวณดังกล่าวดําเนินมาจนถึงปี ค.ศ. 1930 โดยแม้จะสามารถให้แซปไฟร์ที่งดงามที่สุดในโลกเป็นจํานวนมาก แต่ปัจจุบันวัตถุดิบจากแหล่งนี้หมดไปเป็นเวลานานแล้ว แซปไฟร์แคชเมียร์มีสีนําเงินที่นุ่มนวลที่เรียกว่า สีนําเงิน "ดอกคอร์นฟลาเวอร์" (Cornflower) ในประเทศแถบตะวันตกเรียกสีดังกล่าวนี้ว่า สีน้ำเงิน "กํามะหยี" (Velvety Blue) ปัจจุบันมักจะพบเห็นแซปไฟร์แคชเมียร์ในเครื่องประดับเก่าแก่ในงานประมูลใหญ่ๆ ตามปกติแซปไฟร์แคชเมียร์ไม่ผ่านการเพิ่มคุณค่าด้วยความร้อนแต่อย่างใด คอรันดัมส่วนใหญ่มักผ่านการเผาซึ่งเป็นกรรมวิธีที่ทํากันมานานหลายสิบปีแล้ว เพื่อปรับปรุงสี (ทําให้สีเข้มขึนหรืออ่อนลงกว่าสีตามธรรมชาติ) และหลอมเหลว สิ่งเจือปนหรือมลทินภายใน เช่น ผลึกรูไทล์ ทีเรียกว่า "Silk" ทําให้พลอยมีความใสมากขึ้น การเผาให้สีมีความคงทนพอๆ กับอายุของแซปไฟร์เองเลยทีเดียว แซปไฟร์จากศรีลังกา มาดากัสการ์ ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศมักถูกส่งเข้ามาเผา ปรับปรุงสีความใส และเจียระไนในประเทศไทย ความเชื่อเกี่ยวกับพลอย ในประเทศไทย อินเดีย ศรีรังกา พม่า มีจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงอาภรณ์ของสตรีที่ดูละลานตาไปด้วยเครื่องเพชรพลอย อาทิ สร้อยคอ ต่างหู เครื่องราง กําไลมือ กําไลเท้า เข็มขัดอันวิจิตร ชาวไอยคุปต์ ถือว่า ดวงตาที่ทํามาจากไพฑูรย์ อันเป็นพลอยสัญลักษณ์แห่งความสัตย์ และความโปร่งใสของจิตว่า เป็นเครื่องรางแห่งพลังอํานาจอันยิงใหญ่ ชาวเปรู กลับมีความเชื่อถือมรกตมาก เชื่อว่า มรกต ช่วยระงับพิษ และทําให้อยู่ยงคงกระพัน และเชื่อว่า ในมรกตมีเทพธิดาสถิตอยู่และมีการสร้างศาลขนาดใหญ่เพื่อตั้ง มรกต ไว้บูชาด้วย ในประเทศกรีก รูปสลักบนพลอยมีมากมายหลายรูปแบบ เริ่มจากรูปแมลงสการับ ของไอยคุปต์ เป็นที่นิยมในกรีก ช่วงกลางพุทธศตวรรษที 10 แต่พอล่วง เข้าพุทธศตวรรษที่ 11 หรือ 12 ก็หันมานิยมรูปสลักของทวยเทพในตํานานโดยเฉพาะรูปสลักของเฮอคิวลิส ซึ่งได้กลายเป็นเครื่องรางสําคัญเชื่อกันว่า ผู้ที่สวมใส่รูปสลักเทพเจ้าจะสามารถถ่ายทอดพลังจากเทพเหล่านั้นได้กล่าวกันว่า แม้แต่ ยูลีอุส ซีซาร์ เองก็เป็นนักสะสมเพชรพลอยตัวยง เขาได้บริจาคเครื่องเพชรทั้งชุดให้แก่วิหารของ วีนัส เทวีความงามของชาวโรมัน แห่งเยเนตริกซ์ และยัง เคยซื้อไข่มุกเม็ดหนึ่งในราคาที่สูงมาก แสดงให้เห็นว่า ไข่มุก ในสมัยนั้นมีค่ามาก สําหรับ อัญมณีที่นิยมสะสมในสมัยนันก็ เช่น โกเมน คาร์เนเลียน อะเมธิสส์ บุษราคัม เพอริดอต และเชื่อว่า แจสเพอร์ สีแดงกับ คาร์เนเลียน มีพลังในทางคุณไสย และเชื่อว่า หากดื่มเหล่าจากจอก อะเมธิสต์ จะไม่เมา ความเชื่อเกี่ยวกับ อะเมธิสต์ จากตํานานของเทพเจ้าแบคคัส ครั้งหนึ่งเขาได้สั่งให้เสือของเขากินมนุษย์คนแรกที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นสาวน้อยนามว่า อะเมธิสต์ ซึ่งกําลังเดินทางไปสักการะ ไดอานาหรือเทพธิดาวีนัส เทวีเจ้าแห่งดวงจันทร์ เธอได้อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเทวี ไดอานา ด้วยความหวาดกลัว เทวีจึงได้เสกให้เธอกลายเป็นผลึกแก้วใส เมื่อแบคคัส ได้สติก็เกิดความละอายใจจึงรินเหล้าองุ่นลงบนรูปปั้นจากนั้น สีของรูปปันผลึกใส จึงได้กลายเป็นสีม่วงที่ถูกเรียกว่า อะเมธิสต์ ตราบจนทุก วันนี้ ในประเทศจีน ขุนนางในราชสํานักจีนจะใส่อัญมณีเพื่อบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิของตน โดยขุนนางอันดับหนึ่งจะใส่อัญมณีสีแดง เช่น ทับทิมและทัวร์มาลีนแดง อันดับสอง ใส่หินปะการังและโกเมน อันดับสาม ใส่อัญมณีสีนําเงิน อันดับสี่ นิยมผลึกหินเขียวหนุมาน อันดับห้า เป็นหินสีขาวไม่ระบุชนิด อัญมณีที่ตกทอดจากราชวงศ์ หมิง ประเทศจีน จนถึงปัจจุบันบ่งบอกว่า คนจีน นิยมผลึกในตระกูลหิน เขียวหนุมาน มากกว่าเป็นอัญมณีราคาเพง โดยเฉพาะหยกขาว เป็นทีนิยมและถือเป็นตัวแทนอัญมณีจากสวรรค์ มีเรื่องเล่าว่าชาวจีนที่ตกหน้าผา ซึ่งตัวเขาไม่ได้รับอันตรายเลยแต่หยกที่พกไว้กลับมีรอยร้าวแทน ในประเทศอินเดีย พวกพราหมณ์เชื่อว่าหากบูชาพระกฤษณะ ด้วย ทับทิมจะได้เกิดเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ผลบุญที่ตอบแทนจะขึ้นอยู่กับขนาดของ ทับทิม ด้วย นอกจากนี้ชาวอินเดียยังนับถือ เพชร โดยเชื่อว่า เพชร สามารถขับพิษร้าย ช่วยให้สามีภรรยาคืนดีกัน ช่วยให้บังเกิดโชคลาภและประสบความสําเร็จชาวอินเดียบางกลุ่มเชื่อว่า เพชร คือ พระธาตุของพระพุทธเจ้า ความเชื่อเกี่ยวกับทับทิม กล่าวกันว่า ในยุคกลางจะสวมทับทิมที่มือซ้าย เพราะจะปกป้องผู้สวมใส่จากสิ่งชั่วร้ายและนําความมั่งคั่งมาให้ หากทองคําคือโลหะลํ้าค่าที่สุด ทับทิมก็เปรียบเสมือนราชาแห่งอัญมณี ซึ่งถูกกล่าวขานถึงมากที่สุดนับตังแต่มีการบันทึกเรื่องราวเกียวกับอัญมณีมานานนับพันปี ต้นศตวรรษที 11 al-Biruni นักแร่วิทยาชาวเปอร์เซีย ยกย่องว่าทับทิมเป็นยอดแห่งอัญมณีทั้งในด้านสีสัน และความงาม ในปี 1550 Benvenuto Cellini ช่างทองชาวอิตาเลียนได้บันทึกไว้ว่าราคาของทับทิมที่งามไร้ที่ตินั้นจึงอาจสูงกว่าเพชรในขนาดเดียวกันถึง 8 เท่า ขณะที่ Max Bauer ได้บันทึกไว้ในหนังสือ Precious Stones ในปี 1894 ว่า ทับทิมมีราคาสูงเป็นสองเท่าของเพชรในขนาดเดียวกัน แซปไฟร์ (Sapphire) (มาจากภาษากรีก " Sappheiros" หมายถึง สีนําเงิน) มีความสําคัญในหลากหลายสังคมในอดีต อาทิ ชาวยิว เชือว่าอัญมณีสีนําเงินนี้เป็นเสมือนสารลับจากเบื้องบน และชาวเปอร์เชียคิดว่าโลกวางอยู่เหนือแซปไฟร์ขนาดมหึมา และท้องฟ้าคือ ภาพสะท้อนของสีสันอันงดงามของแซปไฟร์นั่นเอง อย่างไรก็ตามนักอัญมณีศาสตร์มองเห็นแซปไฟร์เป็นแค่เพียงผลึกอะลูมิเนียมออกไซด์ (หรือทีรู้จักกันในนามคอรันดัม (Corundum)) ซึ่งทั้งหมดเป็นหินชนิดเดียวกัน แตกต่างกันเพียงแค่สี โดยทับทิม ซึ่งเป็น "ราชา" แห่งคอรันดัมเป็นคอรันดัมสีแดง คอรันดัมสีอื่นๆ นอกเหนือจากสีแดงเรียกว่าแซปไฟร์ แต่คําว่า "แซปไฟร์" มักหมายถึง ไพลิน ส่วนแซปไฟร์สีอื่นๆเรียกว่า แซปไฟร์สีแฟนซีแซปไฟร์สีแฟนซีมีสีต่างๆ เช่น เหลือง เขียว ส้ม และชมพู สีนํ้าเงินของไพลินเกิดจากไททาเนียมและเหล็กปะปนกัน อย่างไรก็ตามความแตกต่างของปริมาณและส่วนประกอบของเหล็ก ไททาเนียม และโครเมียม ทําให้สีของแซปไฟร์มีหลากหลายสี เหล็กทําให้แซปไฟร์มีสีเหลืองและเขียว แซปไฟร์สีชมพูมีโครเมียมน้อยกว่าทับทิม ส่วนแซปไฟร์สีส้มอมชมพูเรียกว่า แพดพาแรดชา ในศรีลังกาหมายถึง "สี ดอกบัว" แซปไฟร์ชนิดนี้ที่มีคุณภาพดีที่สุดนับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์และพิเศษในโลกอัญมณีผู้คมากมายแสวงหาอัญมณีชนิดนี้ที่มีสีบริสุทธิเพื่ออวดความงดงามและความมั่งคั่ง ทั้งยังมีความเชื่อกันมาเป็นเวลานานแล้วว่าแซปไฟร์มีอํานาจอันลําลึกมากมาย อาทิ อํานาจในการปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่จากยาพิษและวิญญาณชั่วร้าย เป็นเครื่องราง สําหรับชาวราศีพฤษภและผู้ที่เกิดในเดือนกันยายน นอกจากนี้แซปไฟร์ยังเป็นของขวัญสําหรับวันครบรอบแต่งงานปีที 5 และ 45 อีกด้วย อย่างไรก็ตามสําหรับสตรีในยุคปัจจุบันความงามและความสามารถในการนําไปใช้ประโยชน์อันหลากหลายของอัญมณี อันงามลําเลิศชนิดนี้ ทําให้แซปไฟร์กลายเป็นตัวเลือกสุดวิเศษสําหรับเครื่องประดับทุกประเภทส่วน ชนพื้นเมืองใน นิวซีแลนด์ เชื่อว่า หยกเขียว ทีเรียกว่า ติ กิ เป็นหินนําโชค และเชื่อว่า ความรู้จากคนรุ่นก่อนถูกบันทึกอยู่ในหยกเขียว จึงมักจะมอบมันให้เป็นมรดก การลงยา จากตําราพระเครื่องต้น ซึ่งแต่งขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชระบุว่าเครื่องต้นที่เป็นเครื่องประดับของพระเจ้าแผ่นดิน 9 อย่างนั้น มี 2 อย่างทีเป็นเครื่องลงยาราชาวดีคือทองพระกรลงยาราชาวดี ประดับพลอย และฉลองพระบาทลงยาราชาวดี เป็นหลักฐานว่า เครื่องทองทีลงยาราชาวดีนั้น จะใช้ได้เฉพาะพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น การลงยาราชาวดี คือลงยาสีฟ้า เป็นงานที่ต่างไปจากเครื่องทองลงยาแบบเดิม ซึ่งมีเพียงสองสี คือ สีแดง กับ สีเขียว เท่านัน โดยการลงยาของไทย จะใช้เส้นลวดขดเป็นลายแล้วลงยาไปตามลายนัน ต่อมาได้พัฒนามาเป็นการขุดลงไปในเนื้อวัตถุ แล้วลงยาลงไปตามร่องเส้นทีขุดไว้ การลงยาราชาวดี (ลายสีฟ้า) นิยมมากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้คํานิยามไว้ว่า ราชาวดี คือการลงยาชนิดหนึ่งสําหรับเคลือบทองให้เป็นสีฟ้า (เปอร์เซีย) ตามประวัติความเป็นมาของการลงยาสีนัน สันนิษฐานว่ามีแหล่งกําเนิดอยู่ตะวันออกกลาง เป็นอิทธิพลของชาวอาหรับ และเปอร์เซีย ซึ่งมาติดต่อค้าขายกับไทย ทําให้ไทยรับเอาวิธีการทําลงสีมาใช้กับการทําเครื่องใช้และเครื่องประดับ เริ่มมีปรากฏบันทึกเป็นหลักฐานสมัยอยุธยา กล่างถึงเครื่องราชบรรณาการลงยาที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระราชทานแก่ พระเจ้าหลุยส์ที 14 แห่งฝรั่งเศส และตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือเครื่องราชูปโภคทีสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 จะนิยมทําด้วยเครื่องลงยาราชาวดีนอกจากนี้ภายหลังยังใช้ทําเครื่องประดับยศของเจ้านายและขุนนางต่างๆ ตลอดจน เครื่องประกอบสมณศักดิของพระภิกษุสงฆ์ด้วยรุ่นบุกเบิก ข้อมูลจาก -โครงการศึกษาความเป็นไทย เพือการประยุกต์ใช้ในการออกแบบเครื่องประดับภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม / คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย -รัตนชาติมีพลังอัศจรรย์ / ดร. ธรรมทิพย์ ไขหาญฟ้า -หินนําโชค / นวลปราง ฉ่องใจ -เพชรพลอยเพือสิริมงคล / มณีขจิต -สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) / ดร. สุทัศน์ ยกส้าน -สถาบันวิจัยและพัฒนาเครื่องประดับแห่งชาติ
- (ภาคหลัง) ความเป็นมาก่อนการก่อตั้งร้านทอง ต้นมะขามช่างทอง
ต้นฉบับภาษาจีน จากเรื่อง ช่างตีทองใต้ต้นมะขาม (หนังสือพิมพ์จีน เอเซียนิวส์ไทม์) วันที่ 2 เดือนมีนาคม 2015 ภาคหลัง ในคืนวันหนึ่ง คุณตาคุณยายได้นั่งปรึกษากันอย่างเงียบๆ ท่านทั้งสองต่างก็คิดกันว่า ได้เดินทางมาทำมาหากินอยู่ที่ประเทศไทยมานานกว่า 20 ปีแล้ว เงินทองที่หามาได้นับว่ามีอยู่ไม่น้อย ลูกชายคนเล็กก็อายุ 11 ปีแล้ว แต่อยู่ที่บ้านนอกไม่มีที่เรียนภาษาจีน หากจะให้ลูกเรียนภาษาจีน จะต้องส่งลูกเข้าไปเรียนยังโรงเรียนจีน จิ้นเต๋อกงเซี่ยวที่กรุงเทพฯ ซึ่งคุณตาคุณยาย เคยส่งบุตรสาวคนโตไปเรียนที่โรงเรียนนี้ถึง 8 ปี ลูกสาวต้องไปพักอยู่กับบ้านญาติที่สำเพ็ง กว่าจะกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อปิดภาคเรียน ซึ่งในแต่ละปีก็จะกลับบ้านได้เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น คุณยายจึงไม่อยากให้ลูกชายต้องไปอยู่ห่างไกลกันเช่นนี้อีก และยังจะต้องเตรียมใจในเรื่องลูกชายจะต้องไปจับใบดำใบแดงเพื่อเกณฑ์ทหารอีกด้วย เพราะการเกณฑ์ทหารถือเป็นหน้าที่ของชายไทยทุกคน ถึงแม้ลูกชายจะไม่ได้แจ้งเกิดที่อำเภอก็ตาม แต่ยุคสมัยนั้น รัฐบาลไทยมีนโยบายกีดกันชาวจีนโพ้นทะเล ทำให้ชาวจีนโพ้นทะเลที่มาใช้ชีวิตอยู่ในไทยต่างก็อยู่ในสภาพขวัญหนีดีฟ่อร่ำไป การดำเนินชีวิตเช่นนี้ดูจะน่าเหน็ดเหนื่อยเกินไป เพราะไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด ก็ย่อมอุ่นใจสู้บ้านเกิดเมืองนอนของตนเองไม่ได้ ความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดที่เมืองจีนของคุณตาคุณยายนับวันยิ่งมีมากขึ้นทุกที ทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่บ้านเกิดในประเทศจีน จะว่าไปแล้ว หากท่านเดินทางกลับบ้านเกิดในตอนนี้ ก็นับว่ากลับไปอย่างสมภาคภูมิ เพราะมีเงินทองฐานะร่ำรวย เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว จะมัวรีรอลังเลอะไรเล่า แต่เพราะคุณตาคุณยายคิดถึงกิจการร้านทองที่การค้ากำลังเจริญรุ่งเรือง จะเลิกราทิ้งไปในขณะนี้ก็น่าเสียดายมิใช่น้อย แต่อย่างน้อยลูกสาวคนโตที่ออกเรือนไปมีครอบครัว ก็ได้สร้างฐานะอย่างมั่นคง โดยได้เปิดร้านทองต้นมะขามอีกแห่งหนึ่ง กิจการค้าก็เจริญรุ่งเรืองไปได้ด้วยดี คุณตาจึงคิดจะยกร้านทองนี้ให้บุตรสาวคนโตเป็นคนดำเนินกิจการต่อไป เพื่อเป็นการรักษาและสืบทอดร้านทอง “ช่างตีทองใต้ต้นมะขาม” นี้ให้คงอยู่สืบไปยังชั่วลูกชั่วหลาน ด้วยเหตุนี้เอง ก่อนที่จีนจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณประชาชนจีน (ค.ศ. 1949) 12 ปี คุณตาคุณยายก็เดินทางกลับบ้านเกิดที่ประเทศจีน ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อถิ่นทำกินและความตื่นเต้นยินดีที่จะได้กลับสู่บ้านเกิด คุณตาได้รวบรวมทรัพย์สมบัติทั้งหมดกลับไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเงินสด เพชรนิลจินดา ทองคำแท่งและเครื่องประดับทองคำต่างๆ รวมทั้งพาลูกสาวคนสุดท้องและลูกชายคนเดียวกลับไปด้วย ทิ้งไว้แต่ร้านทอง “ช่างตีทองใต้ต้นมะขาม” และห้องทำงานตีทองอันว่างเปล่า ที่ท่านมอบไว้เป็นสมบัติให้ลูกสาวคนโตเป็นคนสืบทอดกิจการต่อไป ในช่วงที่คุณตาคุณยายเดินทางกลับบ้านเกิดนั้น ตรงกับช่วงที่ญี่ปุ่นรุกรานจีน ทั่วทั้งแผ่นดินจีนเต็มไปด้วยภัยสงครามอันคุกรุ่น ผนวกกับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคก๊กมินตั๋งอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะการณ์เช่นนี้ ประชาชนจะสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้อย่างไร เมื่อคุณตากลับมาถึงบ้านเกิดแล้ว ท่านก็ได้นำเครื่องประดับทองคำเกือบจะทั้งหมดไปขาย เมื่อได้เงินสดมาก้อนหนึ่ง จึงนำมาซื้อที่ดินผืนใหญ่ในหมู่บ้าน โดยหวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะใช้ชีวิตที่มั่งมีศรีสุขในบ้านเกิดอย่างสุขสงบ การรุกรานประเทศจีนของจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นไม่มีผลกระทบมากมายต่อพื้นที่ห่างไกลในชนบทของจีนนัก คุณตาคุณยายนับว่าได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในหมู่บ้านชนบทของจีนอยู่หลายปี คุณยายเป็นผู้หญิงเก่ง จึงเป็นหลักในการดูแลครอบครัว ส่วนคุณตาก็ปล่อยวางทุกสิ่งอย่าง ไม่สนใจใยดีอะไรทั้งสิ้น กิจกรรมประจำวันของคุณตาก็คือ อ่านหนังสือแล้วก็พักผ่อน บ้างก็ไปพูดคุยกับเพื่อนบ้านหรือเล่นไพ่นกกระจอกบ้างเป็นครั้งคราว คุณตาคุณยายได้แต่ห่วงใยเรื่องการสืบทอดวงค์ตระกูล ดังนั้น เมื่อลูกชายอายุได้ 15 ปี คุณตาคุณยายก็หาลูกสะใภ้เพื่อแต่งงานกับลูกชาย แม้ขณะนั้นลูกชายแม้จะอายุยังน้อย แต่ลูกชายก็ยืนหยัดในหลักการไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานแบบคลุมถุงชนที่เป็นซากความคิดแบบศักดินานิยมเช่นนี้ ลูกชายจึงไม่สนใจใยดีต่อสิ่งที่คุณตาคุณยายจัดการให้ เขาและพี่สาวที่เดินทางกลับมาจากประเทศไทยด้วยกัน ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสืออยู่ในนครกวางเจาต่อไป ในขณะนั้นเอง กระแสความคิดทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนทั่วทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่ตลอดจนหมู่บ้านเล็กๆในชนบทก็ตาม ส่วนพรรคก๊กมินตั๋งที่กำลังอ่อนแรงก็พยายามดิ้นสู้ในเฮือกสุดท้าย ปี ค.ศ. 1949 พรรคก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ เจียงไคเช็คและสมุนพรรคพวกพากันหลบหนีออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ และไปตั้งรกรากที่เกาะไต้หวัน พรรคคอมมิวนิสต์ชนะแล้ว! ประเทศจีนได้รับการปลดแอกทั่วทั้งประเทศแล้ว! ช่างเป็นเรื่องตื่นเต้นน่าเร้าใจเสียนี่กระไร คนจนมีโอกาสลุกขึ้นยืนอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่สังคมจีนจะสามารถก้าวไปสู่สังคมประชาธิปไตยใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกวาดล้างและโค่นล้มทุนนิยมที่มีอยู่ในสังคมจีนให้หมดสิ้นไปก่อน พรรคคอมมิวนิสต์จึงผลักดันนโยบายกวาดล้างนายทุนเจ้าที่ดินครั้งใหญ่ ทำให้ประชาชนยากไร้ที่อยู่ในชนบทห่างไกล เมื่อได้รับฟังนโยบายดังกล่าวก็เข้าใจว่า ความยากจนและชีวิตไร้ยากที่ผ่านมาของพวกเขา ก็เพราะเกิดจากการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าที่ดินที่ร่ำรวย ทำให้คนยากจนเหล่านี้เกิดการเคียดแค้นชิงชังเจ้าที่ดินเป็นอย่างมาก ความรู้สึกสำหรับคุณตาคุณยายแล้ว การปลดแอกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมือนฟ้าถล่มทลายก็มิปาน สถานภาพของคุณตาคุณยายตาลปัดไปในชั่วพริบตา มีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว อกสั่นขวัญแขวน และเหตุการณ์ร้ายๆ ก็ตามติดมาคือ บ้านของท่านถูกรื้อค้นครั้งแล้วครั้งเล่า การถูกจับไปวิพากษ์อย่างรุนแรง ทั้งนี้เพราะคุณตาคุณยายถูกจัดอยู่ในกลุ่มชาวนาที่ร่ำรวย หลังจากจีนปลดแอกแล้ว สถานภาพของการเป็นชนชั้นชาวนาร่ำรวย ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับการยอมรับในสังคมแล้ว ยังถูกยัดเยียดให้เป็นพวกปฏิปักษ์ของสังคม ที่สมควรจะต้องได้รับการลงโทษอย่างหนักหน่วง โดยไม่ให้มีโอกาสได้กลับมามีที่ยืนในสังคมอีกตลอดไป นับเป็นช่วงชีวิตที่มืดมิดและเลวร้ายที่สุดในชีวิตของคุณตาคุณยาย ทั้งสองท่านจึงดูแก่และทรุดโทรมไปในพริบตา ทุกวันตายายจะเก็บตัวเงียบกริบอยู่ในบ้านด้วยความรู้สึกวิตกกังวล และทุกครั้งที่มีกระแสการเคลื่อนไหวเพื่อการโค่นล้มบรรดาชนชั้นที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ เช่น การเคลื่อนใหว “3 ต่อต้าน 5 ต่อต้าน” และแน่นอนว่าการเคลื่อนไหวเช่นนี้ต้องมาถึงตัวคุณตาคุณยายทุกครั้งไป คุณตาคุณยายถูกลากตัวไปประจานทั่วหมู่บ้าน ตั้งแต่ต้นหมู่บ้านจนท้ายหมู่บ้าน แล้วจับตัวท่านทั้งสองให้นั่งคุกเข่าบนเวทีที่จัดทำไว้ หลังจากนั้นก็จะบังคับให้คุณตาคุณยายพูดสารภาพว่าได้กระทำความผิดอะไรบ้างต่อขบวนการปฏิวัติทางชนชั้น ซึ่งท่านทั้งสองคิดแล้วคิดอีก ก็คิดไม่ออกว่าพวกท่านได้เคยทำอะไรที่เรียกว่าเป็นความผิดเลย เพียงแต่ท่านได้นำเงินที่หามาได้จากช่วงที่ทำร้านทองที่ประเทศไทย แล้วนำมาซื้อที่ดินผืนใหญ่ หลังจากนั้นก็มีรายได้เลี้ยงชีพจากค่าเช่าที่ดิน พวกท่านไม่เคยทำผิดอะไรเลย จะยอมรับความผิดได้อย่างไรเล่า หลังจากนั้น บ้านของคุณตาคุณยายก็ถูกกลุ่มบุคคลบุกเข้ารื้อค้นและยึดสิ่งของมีค่าไปไม่เว้นวัน จนในบ้านไม่หลงเหลืออะไรเลย แม้กระทั่งลูกสะใภ้ที่ท่านขอมาให้แต่งงานกับลูกชาย ก็ถูกลากตัวไปสอบสวนประจานและทุบตีต่อทีสาธารณะด้วย กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการให้คุณยายบอกที่ซุกซ่อนว่าได้นำทองคำที่นำติดตัวจากประเทศไทยไปซุกซ่อนไว้ที่ใด ปรากฎว่าที่น่าตกใจคือกลุ่มคนที่ทุบตีคุณตาคุณยายเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นญาติสนิทมิตรสหายของครอบครัวคุณตาคุณยายทั้งสิ้น คุณตาถูกเฆี่ยนตีจนแทบสิ้นสติทุกครั้ง จนคุณตาต้องร้องอ้อนวอนขอชีวิต แต่คุณยายกลับปิดปากเงียบกริบ แม้จะถูกโบยตีอย่างหนักหนาสาหัสจนแทบสิ้นลมหายใจไปก็ตาม แต่คุณยายก็ไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ กลุ่มคนบ้านคลั่งเหล่านี้ จึงลงมือขุดหาทองที่คิดว่าอาจจะฝังไว้ใต้ดินตรงมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน แต่ขุดจนรอบบ้านก็ไม่เจอทองคำแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว (ตราบจนทุกวันนี้ลูกหลานคุณยายก็ยังไม่แน่ใจว่า จริงๆ แล้วคุณยายยังมีทองคำเหลืออยู่จริงหรือไม่) สองตายายไม่มีใครจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเลย ทั้งสองได้แต่นั่งรอคอยว่าจะมีใครมาลากตัวออกไปเฆี่ยนตีอีก จึงมีแต่ความหวาดกลัว คุณตาคุณยายคิดไม่ตกจริงๆว่า ท่านทั้งสองไปสร้างเนื้อสร้างตัวที่ประเทศไทยด้วยสองมือเปล่า กระทั่ง 20 ปีผ่านไป เมื่อมีเงินทองจำนวนหนึ่งจึงคิดจะนำกลับบ้านเกิดที่จีน เพื่อสร้างหลักปักฐานในบั้นปลายของชีวิต จึงได้นำเงินทองที่หามาได้จากประเทศไทยทั้งหมดไปซื้อเป็นที่ดินผืนใหญ่เพื่อจะมีรายได้เลี้ยงชีพอย่างเรียบง่ายจากการเก็บค่าเช่าที่ดิน นี่หรือคือความผิดที่ใหญ่หลวง จะโบยตีให้ตาย คุณยายก็ไม่ยอมรับว่านี่คือการกระทำความผิด ส่วนคุณตาก็หน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน คิดจะหนีก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปอยู่ที่ใด จะหนีขึ้นสู่ท้องฟ้าหรือมุดลงใต้ดิน ล้วนแต่ไม่มีหนทางให้เลือกเดินจริงๆ คุณตาอธิษฐานขอให้ฟ้าดินโปรดประทานความช่วยเหลือ แต่ปาฏิหารย์ก็ไม่เกิดขึ้นสักที คุณตาได้แต่น้ำตาตกใน อกตรมระทมขมขื่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ส่วนคุณยายก็ไม่ยอมก้มหัวให้กับความอยุติธรรมเหล่านี้แม้แต่น้อย คุณยายเชิดหน้านิ่งปิดปากเงียบสนิท การถูกโบยตีในครั้งสุดท้าย คุณตาตัวสั่นงันงก และเมื่อแรงหวดจากไม้โบยตีลงบนตัวคุณตาครั้งสุดท้าย คุณตาก็ดูเหมือนจะหมดสติไป และในค่ำคืนอันมืดมิดนั่นเอง คุณตาคุณยายตัดสินใจที่จะจบชีวิตที่น่าเจ็บปวดไว้เพียงเท่านี้ คุณยายจัดการอาบน้ำแต่งตัวอย่างหมดจรด มัดเกล้าผมมวยอย่างแน่นหนา เลือกสวมชุดผ้าต่วนเงางามเหมือนมีงานมงคล คุณยายมองจับจ้องที่คุณตาด้วยสายตาที่มุ่งมั่น แล้วค่อยๆพยุงร่างของคุณตาให้นั่งลงบนเก้าอี้ สายตามองร่างที่ไร้ลมหายใจของคุณตา แล้วคุณยายก็เรียกลูกสะใภ้ซึ่งเป็นเพียงลูกสะใภ้ในนาม เช่นกัน ลูกสะใภ้ก็ถูกทำร้ายด้วยการโบยตีและได้จากโลกนี้ไปแล้ว คุณยายในยามนี้ไม่ลังเลแม้แต่น้อยเลย คุณยายรู้สึกตัวเองได้รับการปลดปล่อย โล่ง เบา สงบและผ่อนคลาย ใช่แล้ว คุณยายก็ได้จากไปแล้วเช่นกัน สิ่งที่เป็นเครื่องปลอบประโลมใจในช่วงมืดมนของชีวิตของคุณตาคุณยายก็คือ ลูกชายคนเล็กหรือน้าชายของอาจารย์อมรสิริ สามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือความโหดร้ายของขบวนการที่เรียกว่าการปลดแอกทางชนชั้นนี้ไปได้ เพราะว่าเขาปฏิเสธการแต่งงานแบบคลุมถุงชน น้าชายจึงหาเงื่อนไขเรื่องการเล่าเรียนเป็นเหตุให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในนครกวางเจาจนแทบจะไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลย และนี่จึงเป็นสาเหตุที่น้าชายหลุดรอดไปจากเคราะห์กรรมนี้ได้ ซึ่งเมื่อน้าชายทราบข่าวของพ่อแม่และเขาก็เป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มคนบ้าคลั่งในหมู่บ้าน น้าชายจึงไม่สามารถกลับไปที่บ้านในชนบทได้อีกเลย ต่อมาน้าชายได้เดินทางไปสอนหนังสือที่ฮ่องกง ขณะนั้นน้าชายอายุราว 20 ปี หลังจากนั้นน้าชายได้ย้ายไปที่ไต้หวัน และสร้างหลักปักฐานอยู่ที่ไต้หวัน ตราบจนทุกวันนี้ คุณตาคุณยายไม่รู้เลยว่าลูกชายคนเดียวของท่านนั้นไปอยู่ที่แห่งหนตำบลใด รู้แต่ว่าได้ไปอยู่ในดินแดนอันแสนไกลโพ้น แต่คุณตาคุณยายก็รู้สึกวางใจ และจากไปอย่างไม่มีกังวลในเรื่องนี้เลย น้าชายรู้สึกเจ็บปวดท้อใจกับเคราะห์กรรมของคุณตาคุณยายเป็นอย่างยิ่ง ความเจ็บปวดรวดร้าวนี้เสียดแทงลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ เสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก ทะลุทะลวงเข้าไปจนถึงตับไตไส้พุง แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนของน้าชาย ในที่สุดบาดแผลอันร้าวลึกนี้ก็ค่อยๆถูกฝืนกล้ำกลืนไว้ภายใน น้าชายตัดสินใจที่จะต้องมีชีวิตต่อไป เพราะว่าชีวิตยังมีวันพรุ่งนี้ และวันพรุ่งนี้เขาจะต้องมีชีวิตที่ดีและมีความสุขกว่านี้ และมีชีวิตที่มีศักดิ์ศรีมีความสง่างามกว่านี้ และในที่สุด ก็เป็นไปตามที่น้าชายได้ตั้งมั่นเอาไว้ น้าชายยึดอาชีพการเป็นครูสอนหนังสือมาตลอดทั้งชีวิต มีครอบครัวที่อบอุ่น มีคู่ชีวิตที่ดีงาม น้าชายในวัย 80 ปีในวันนี้ ยังคงมีสุขภาพที่แข็งแรง สำหรับโศกนาฏกรรมของพ่อแม่ และการกระทำอันไร้มนุษยธรรมของญาติมิตรที่บ้านเกิดในหมู่บ้านชนบท น้าชายได้ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นคือ การแผ่เมตตา ให้อภัย ไม่คิดผูกใจเจ็บอาฆาตพยาบาท จิตใจเยือกเย็นดั่งสายน้ำ ปัจจุบันน้าชายยังคงเดินทางแวะเวียนมาเมืองไทยเพื่อเยี่ยมพี่สาวสองคน หลานๆ ที่อยู่ทางเมืองไทยต่างก็ให้ความเคารพน้าชายท่านนี้อย่างมาก ทุกครั้งเมื่อพี่น้องได้พบหน้ากัน เมื่อคิดถึงเคราะห์กรรมที่พ่อแม่ต้องประสบพบเจอที่บ้านเกิดในเมืองจีน ทุกคนต่างก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ จนต้องหลั่งน้ำตาทุกครั้งไป ซึ่งต่างพูดปลอบใจกันว่า ถือว่าเป็นชะตาชีวิตของพ่อแม่ที่เดินผิดไปเพียงก้าวเดียว ที่คิดกลับไปยังบ้านเกิด มีอยู่ครั้งหนึ่ง น้าชายได้พาอาจารย์อมรสิริพร้อมพี่น้องสิบกว่าคน เดินทางกลับไปไหว้บรรพบุรุษยังบ้านเกิดที่หมู่บ้านชนบทในจีน ปรากฏว่าเมื่อคนในหมู่บ้านและญาติมิตรทราบข่าว ต่างก็มาตั้งแถวรอรับถึงหน้าหมู่บ้าน ผู้นำชุมชนก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างอบอุ่น น้าชายได้พูดกับบรรดาหลายๆว่า ก็คนกลุ่มนี้แหละ ที่ทำการโบยตีทุบทำร้ายคุณตาคุณยาย แต่เรื่องต่างๆ มันผ่านไปแล้ว มันเป็นอดีต เมื่อมีโอกาสได้มาพบหน้ากัน รอยยิ้มก็สยบศัตรูไปได้ จึงไม่อยากให้หยิบยกเรื่องราวในอดีตขึ้นมาพูดอีก ทุกวันนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านนับว่าดีขึ้นกว่าเดิมมากมาย มีชีวิตที่ไม่ขาดแคลนในเรื่องของปัจจัยสี่อีกต่อไป ซึ่งเรื่องนี้คงต้องยกความดีให้กับนโยบายด้านเศรษฐกิจ “เสี่ยวคัง” คือนโยบายที่ทำให้ประชาชนมีอยู่มีกินอย่างถ้วนหน้าของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งนับว่ารัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว เพราะทำให้ทุกคนมีงานทำ ทุกบ้านมีที่ดินทำกิน ทุกครัวเรือนมีอาหารเพียงพอและยังมีผลิตผลเหลือไว้ขายอีกด้วย ในตะกร้าจ่ายตลาดของชาวบ้านทุกคน มีทั้งเนื้อและปลา ในการเป๋ามีเงินทองพอเพียงในการใช้จ่าย ประชาชนทุกคนย่อมพึงพอใจต่อชีวิตความเป็นอยู่เช่นนี้ ไม่ต้องคอยระแวดระวังภัยที่จะทำร้ายกันเหมือนเมื่อก่อนนี้อีกต่อไป ก่อนที่คุณตาคุณยายจะย้ายกลับไปที่บ้านเกิดในชนบทของจีน คุณตาคุณยายได้ยกกิจการร้านทองต้นมะขามให้กับลูกสาวคนโตและลูกเขย (บิดามารดาของอาจารย์อมรสิริ) หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับบ้านเกิดที่ประเทศจีนอย่างวางใจ สำหรับลูกสาวคนโตซึ่งได้เปิดกิจการร้านทองเล็กๆ เป็นของตัวเองหลังจากออกเรือนมีครอบครัวไป เมื่อได้รับการสืบทอดกิจการ เธอจึงให้ความสำคัญกับร้านทองใต้ต้นมะขามที่มีอายุร่วมร้อยปีของคุณตาคุณยายเป็นอย่างยิ่ง เพราะเธอเชื่อว่าต้นมะขามนี่เองที่นำพาความเป็นสิริมงคล ความมั่งคั่ง และความราบรื่นผาสุกมาสู่ครอบครัวของเธอ และแล้วเธอจึงได้ทำป้ายชื่อร้านทองขึ้นใหม่อย่างเป็นทางการว่า “ร้านตีทองต้นมะขาม” สินค้าเครื่องทองของร้านนี้ทุกชิ้นจะตีตราสัญลักษณ์ต้นมะขาม หลังจากที่มารดาของ อาจารย์อมรสิริรับสืบทอดกิจการมาบริหารจัดการแทนแล้ว มารดาอาจารย์อมรสิริก็บริการจัดการต่อจากพื้นฐานที่คุณตาคุณยายได้สร้างไว้ให้อย่างจริงจัง บวกกับความเฉลียวฉลาดและขยันหมั่นเพียร ทำให้ครอบครัวอาจารย์อมรสิริมีความร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถส่งเสียให้พี่น้อง 8 คน ของอาจารย์อมรสิริได้ศึกษาเล่าเรียนในระดับสูง รวมทั้งยังสามารถช่วยเหลือจุนเจือญาติมิตรที่บ้านเกิดในประเทศจีนอีกด้วย พี่สาวคนโตของอาจารย์อมรสิริ สมัครใจที่จะช่วยเหลือการค้าของครอบครัว และดูแลน้องๆ อีก 7 คน ต่อมาเมื่อกิจการตกทอดมาถึงรุ่นอาจารย์อมรสิริและรุ่นลูกหลาน (รุ่น3 และรุ่น4) ทุกรุ่นที่รับสืบทอดกิจการต่างก็สามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่องด้วยความคุ้นเคย ผนวกเข้ากับระดับการศึกษาและสาขาวิชาที่รุ่นลูกหลานได้ศึกษาเล่าเรียนมา เมื่อลูกหลานเหล่านี้ได้นำความรู้สมัยใหม่ในการบริหารจัดการมาปรับใช้กับกิจการ ก็ยิ่งเป็นส่วนเสริมให้กิจการของร้านทองเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วปัจจุบันในห้างสรรพสินค้าชั้นนำขนาดใหญ่ในกรุงเทพมหานคร จะมีสาขาของร้านทองต้นมะขามไปเปิดเกือบทุกแห่ง ส่วนสินค้า นอกจากจะเป็นเครื่องประดับทองคำแล้ว ยังมีเครื่องประดับเพชร พลอยอื่นๆ อีกด้วย เมื่อทองทำประดับด้วยอัญมณีที่ล้ำค่าก็ยิ่งเพิ่มมูลค่า และความสวยงามที่โดดเด่นยิ่งขึ้น อีกทั้งฝีมือการทำเครื่องประดับทองคำที่ปราณีต ยิ่งทำให้สินค้าของร้านทองแห่งนี้เป็นที่รู้จักและชื่นชอบของลูกค้าในวงกว้าง ลูกค้าของร้านทองต้นมะขาม จึงไม่ใช่แต่คุณนายแม่บ้านในละแวกใกล้เคียงในตัวเมืองเล็กๆอีกต่อไป ลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นสตรีในเมืองใหญ่ทุกระดับ ขอบเขตของตลาดก็ขยายออกไป กิจการของร้านทองต้นมะขามจึงขยายใหญ่โตกว่าสมัยรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 ไปมาก เรียกได้ว่าคนรุ่นหลังล้ำหน้ากว่าบรรพบุรุษไปแล้ว แต่ลูกหลานทุกคนต่างก็ไม่รู้ดีว่า ความมั่งคั่งร่ำรวยของตระกูล ได้เกิดขึ้นด้วยการสร้างรากฐานจากน้ำพักน้ำแรงของคุณตาคุณยาย อีกทั้งต้นมะขามร้อยปีที่หน้าร้านทอง ที่นำพาความร่มเย็น ความเป็นสิริมงคลมั่งคั่งร่ำรวยมาให้ สำหรับการเฉลิมฉลองร้านทองต้นมะขามของคุณตาคุณยายที่มีอายุครบ 114 ปีในปี ค.ศ. 2015นี้ ครอบครัวของอาจารย์อมรสิริได้สร้างอาคารอเนกประสงค์ขึ้นที่บริเวณหน้าวัดใกล้ๆกับร้านทองต้นมะขามของคุณตา ที่หน้าอาคารมีป้ายเขียนติดไว้ว่า “อาคาร 114 ปี ต้นมะขามช่างทอง” ซึ่งมีพิธีเปิดอาคารไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา วัตถุประสงค์ของการสร้างอาคารหลังนี้ก็เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ของชุมชนและของรัฐบาลท้องถิ่น ดังคำพูดที่ว่า “ความมั่งคั่งร่ำรวยได้มาจากสังคม ควรที่จะคืนกำไรแก่สังคม” คุณตาคุณยายที่นั่งเฝ้ามองลูกหลานอยู่บนสวรรค์ ได้เห็นลูกหลานของท่านที่ปฏิบัติตนเป็นประโยชน์ต่อสังคมเช่นนี้ เชื่อว่าท่านคงจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุขอย่างแน่นอน
- เรื่องราวความเป็นมาก่อนการก่อตั้งร้านทอง ต้นมะขามช่างทอง
ต้นฉบับภาษาจีน จากเรื่อง ช่างตีทองใต้ต้นมะขาม (หนังสือพิมพ์จีน เอเซียนิวส์ไทม์) วันที่ 26 เดือนกุมภาพันธ์ 2015 แปลไทยโดย วิภาวรรณ สุนทรจามร ภาคแรก หากจะกล่าวว่า “ชีวิตคือเวทีละคร” หรือ ชีวิตคือฉากหนึ่งในละคร หรืออาจจะมีคนพูดว่า ชีวิตก็เหมือนบทหนึ่งในหนังสือนวนิยาย ถ้าเช่นนั้น เรื่องราวของตระกูลหนึ่งก็อาจเปรียบได้กับนวนิยายเรื่องราว เป็นละครเวทีที่มีบทและตอนต่อเนื่องกันหลายสิบตอน เช่นเดียวกันเรื่อง “ซื่อซื่อถงถัง” (คนสี่รุ่นในใต้ชายคาเดียวกัน) บทละครพูดที่เขียนโดย เหลาเส่อ แต่สำหรับเรื่องราวของตระกูลหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะเขียนถึงนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงที่พลิกผันหลากหลายทางสังคม ตลอดจนความเจริญรุ่งเรืองจนถึงจุดล่มสลายของคนสี่รุ่นในใต้ชายคาเดียวกัน เช่นเดียวกับบทละครของเหลาเส่อก็ตาม แต่ตระกูลที่ข้าพเจ้าจะเขียนถึงนี้ นับจากต้นตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจนปัจจุบันก็มีความยาวนานกว่าร้อยปีและมีลูกหลานสืบทอดมาสี่ชั่วอายุคนแล้วเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังมีเรื่องราวของความเปลี่ยนแปลงในช่วงชีวิตของตัวละครที่น่าซาบซึ้งใจมากมายที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง ดังเรื่องที่ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงต่อไปนี้ อาจารย์อมรสิริเป็นเพื่อนร่วมงานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของข้าพเจ้ามาเกือบ 30 ปี เธอเป็นรุ่นน้องที่มีตำแหน่งทางวิชาการเป็นผู้ช่วยศาสตรจารย์เหมือนกับข้าพเจ้า เรานั่งทำงานในอาคารเดียวกันและชั้นเดียวกัน พบหน้ากันทุกเช้าค่ำ สนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าทำงานที่นี่มาสามสิบปี การได้ทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุข แก้ปัญหาสารพัดกับเพื่อนร่วมงาน รุ่นพี่หรือรุ่นน้องมากมาย ที่ผ่านมา ข้าพเจ้ายังไม่เคยเกิดปัญหาความขัดแย้งกันใครเลย สิ่งนี้นับว่าเป็นโชควาสนาของข้าพเจ้าโดยแท้ก็ว่าได้ ที่ได้ทำงานท่ามกลางเพื่อนร่วมงานที่รักใคร่สนิทสนมปานพี่น้องเช่นนี้ อาจารย์อมรสิริสอนอยู่ในภาควิชาภาษาต่างประเทศเช่นเดียวกับข้าพเจ้า เธอรับผิดชอบการสอนภาษาฝรั่งเศษ ส่วนข้าพเจ้าสอนภาษาจีน ยามว่างจากการสอน เรามักนั่งคุยกันสารพัดเรื่องราว เนื่องจากเราต่างเป็นลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเลทั้งสิ้น และยังเป็นชาวจีนแคะเหมือนกันอีกด้วย ต้นตระกูลของเธอนั้นอยู่ที่อำเภอเหมยเซี่ยน ส่วนต้นตระกูลข้าพเจ้าอยู่ที่ฟงซุ่นปั้นซานเค่อ ในวัยเด็กข้าพเจ้าได้เรียนภาษาจีนในระดับประถมหนึ่งถึงหกที่โรงเรียนจิ้นเต๋อกงเซี่ยวในกรุงเทพ ซึ่งก่อตั้งโดยชาวจีนแคะ ทำให้ข้าพเจ้าสามารถพูดภาษาจีนแคะได้อยู่บ้าง การพูดคุยกับอาจารย์อมรสิริ เราจึงมักนิยมใช้ภาษาจีนแคะกัน ซึ่งบางครั้งเมื่อเราใช้ศัพท์ภาษาจีนแคะที่อาจแปลกๆเพี้ยนๆ เราก็จะรู้สึกขำจนอดหัวเราะไม่ได้ทุกครั้งไป และเนื่องจากพวกเราต่างก็มีความรู้ทางด้านภาษา ทำให้เรามักจะมีการศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมือนและแตกต่างของภาษาจีนแคะทั้งสองตระกูลคือ ภาษาจีนแคะตระกูลเหมยเซี่ยนและภาษาจีนแคะตระกูลฟงซุ่น ในประเด็นต่างๆ เช่นเรื่องของการออกเสียง หรือรากศัพท์ต่างๆเป็นต้น อาจารย์อมรสิริเคยไปศึกษาและใช้ชีวิตที่ประเทศฝรั่งเศษร่วมสิบปี จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกแล้วจึงเดินทางกลับประเทศไทย หลังจากกลับจากฝรั่งเศส อาจารย์อมรสิริมีแนวความคิดซ้ายจัด การแต่งกายของอาจารย์อมรสิริดูดีมีสไตล์แบบตะวันตก มีความมุ่งมั่นในการทำงาน พูดจริงทำจริง มีความมั่นใจสูง เมื่อแรกที่ข้าพเจ้าเพิ่งได้รู้จักกับอาจารย์อมรสิริ รู้สึกต้องระมัดระวังในการพูดจาเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อสนิทสนมกันมากขึ้น จึงรู้ว่าเธอเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี เป็นคนเรียบง่าย น่าคบ ตรงไปตรงมา ปากกับใจตรงกัน มีจิตใจดีงามและมีมารยาทดีเยี่ยม นั่นคือมีบุคลิกภาพแบบชาวตะวันออก นอกจากเธอจะแต่งตัวอย่างทันสมัยแล้ว ก็ยังไม่ทื้งบุคลิกของความเป็นลูกหลานชาวจีนที่มักจะใส่เครื่องประดับประเภททองคำอันสวยงานโดดเด่น เครื่องประดับทองคำของเธอทุกชิ้น ล้วนเป็นชิ้นงานที่มีความประณีตมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว ซึ่งไม่สามารถหาซื้อได้จากร้านทองทั่วไปในกรุงเทพมหานคร เพื่อนร่วมงานอย่างพวกเราต่างก็ชื่นชอบเครื่องประดับทองคำเหล่านี้มาก ต่อมาข้าพเจ้าจึงได้รู้ประวัติความเป็นมาของต้นตระกูลอาจารย์อมรสิริว่า ครอบครัวของเธอมีบรรพบุรุษเป็นช่างทองฝีมือเยี่ยม และที่บ้านเกิดของอาจารย์ก็เป็นร้านทองเก่าแก่ที่สืบทอดกันมากกว่าร้อยปีที่มีชื่อว่า “ต้นมะขามช่างทอง” แม้ชื่อร้านฟังดูแล้วอาจจะดูธรรมดาไปบ้าง แต่หากสืบค้นประวัติความเป็นมา ก็จะได้ข้อมูลว่า ที่มาของชื่อร้านทองนี้ไม่ธรรมดาเลย ซึ่งในบรรดาเพื่อนร่วมงานสาวๆ ที่เป็นนักจับจ่ายซื้อเครื่องประดับ ต่างก็รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของร้านทองเก่าแก่ร้านนี้เป็นอย่างดี ดังนั้น ในยามว่าง พวกเราจึงมักจะชวนกันขับรถไปที่ร้านทองต้นมะขามซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดอ่างทอง เพื่อเลือกซื้อเครื่องประดับทองคำที่เป็นชิ้นงานที่สวยงามประณีตซึ่งหาซื้อไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว นอกจากนี้ในบางครั้งพวกเรายังสั่งทำเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยเช่น ตุ้มหู แหวน เข็มกลัดกับ อาจารย์อมรสิริอีกด้วย ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ในกลุ่มเพื่อนอาจารย์สาวของเรา จึงมีเครื่องประดับทองคำเก็บสะสมไว้มากมาย แม้ว่าในยามปรกติทั่วไปพวกเราแทบจะไม่ได้นำมาสวมใส่เลยก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการสะสมของเก่าที่ล้ำค่า เพื่อเก็บไว้เป็นของที่ระลึกสำหรับลูกหลานต่อไป ในตอนที่หลานสาวจะแต่งงาน ข้าพเจ้าได้พาหลานสาวไปเลือกซื้อเครื่องประดับทองคำจากร้านของอาจารย์อมรสิริที่อ่างทอง เพื่อเป็นของขวัญแต่งงงาน และหวังว่าเธอจะเห็นคุณค่าและเก็บรักษาไว้ชั่วลูกหลานต่อไป ข้าพเจ้ามีความคิดว่า อาจารย์อมรสิรินอกจากจะเป็นอาจารย์ที่มีความสามารถ มีบุคลิกงานสง่าแบบคนตะวันตกแล้ว เธอยังเป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถไม่แพ้การสอนอีกด้วย ทั้งนี้อาจเพราะว่า บรรพบุรุษของเธอนั้นเป็นช่างตีทองและเปิดร้านทองค้าขายเครื่องประดับทองคำมารุ่นแล้วรุ่นเล่า โดยมีหลักแหล่งอยู่ที่จังหวัดอ่างทอง ซึ่งต่อมาลูกหลานก็ได้ขยายกิจการร้านทองมาถึงกรุงเทพฯ โดยมีหลากหลายสาขาทั่วกรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อ “ต้นมะขามช่างทอง” อยู่มาวันหนึ่ง อาจารย์อมรสิริและข้าพเจ้าได้นั่งคุยกันในห้องทำงาน เธอพูดกับข้าพเจ้าว่า ตัวเธอศึกษาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศษเป็นเวลานาน มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระแสความคิดยุคใหม่กับการปฏิวัติของฝรั่งเศษเป็นอย่างดี และมีความคิดโน้มเอียงชมชอบไปทางลัทธิสังคมนิยม และเธอเข้าใจดีว่า เหตุที่ประเทศจีนได้เดินไปในแนวทางสังคมนิยมนั้นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันจีนกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปฏิรูปทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเธอบอกว่าจีนได้เดินในแนวทางที่ถูกต้อง เพราะการที่รัฐบาลจีนสามารถทำให้ประชาชนกินอิ่มมีสุขและมีมาตรการที่ให้หลักประกันที่มั่งคงทางสังคมกับประชาชน เป็นสิ่งที่เธอสนับสนุนอย่างยิ่ง เพียงแต่เธอเล่าว่า ในช่วงที่ประเทศจีนมีสงครามต่อต้านญี่ปุ่น และการสู้รบระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคก๊กมินตั๋ง ตลอดเรื่อยมาจนถึงช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ในช่วงเวลาหลายสิบปีนี้เองที่สังคมจีนตกอยู่ในห้วงของความระส่ำระสาย ประชาชนจีนต่างต้องรับชะตากรรมที่แสนโหดร้าย ซึ่งในจำนวนเหยื่อของภัยจากสงครามนี้ก็รวมถึงญาติพี่น้องต้นตระกูลของเธอด้วย ซึ่งญาติพี่น้องเหล่านี้ต้องประสบกับชะตากรรมที่แสนโหดร้ายมากมายจนเธอพูดว่า สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเงาดำและความมืดมัวที่ไม่สามารถจะลบเลือนให้หายจากจิตใจได้เลย และเรื่องราวเหล่านี้ก็ได้พรั้งพรูจากคำบอกเล่าของอาจารย์อมรสิริ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คุณตาคุณยายของอาจารย์อมรสิริ ซึ่งเกิดที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในอำเภอเหมยเซี่ยน มณฑลกวางตุ้ง เมื่อคุณตาแต่งงานกับคุณยายแล้ว คุณตาก็ออกไปเผชิญโลกกว้างใหญ่เหมือนกับชายหนุ่มจีนในยุคนั้น เพื่อต้องการดิ้นรนให้หลุดพ้นจากชีวิตที่ทุกข์ยากลำเค็ญ คุณตาต้องการที่จะแสวงหาโอกาสในที่ที่สามารถใช้แรงงานเพื่อแลกกับการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คุณตาจึงเดินทางจากบ้านเกิด โดยทิ้งให้ภรรยาสาวอยู่กับลูกน้อยอีกสี่คนเพียงลำพัง คุณตาขึ้นเรือโดยสารไปกับเรือเดินทางลำใหญ่ เรือโดยสารพาคุณตาข้ามห้วงมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล จุดหมายปลายทางคือเกาะเมอริเชียส หลังเรือเดินทางมาเทียบท่ายังจุดหมายปลายทาง คุณตากับเพื่อนพ้องที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน ต่างก็แยกย้ายไปตามหาญาติมิตรสหายที่เดินทางล่วงหน้ามาปักหลักอยู่ก่อน คุณตาได้อาศัยกับเพื่อนที่มาจากบ้านเกิดคนหนึ่ง และได้เริ่มฝึกฝนการตัดเย็บเสื้อผ้า หลังจากนั้นคุณตาก็เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังเกาะปีนังที่มาเลเซีย และเริ่มสร้างหลักปักฐานบนเกาะปีนัง แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้นมากมาย จนกระทั่ง คุณตาออกเดินทางต่อมายังประเทศไทย โดยมีจุดหมายปลายทางที่จังหวัดอ่างทอง ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพราวหนึ่งร้อยกิโลเมตร ซึ่งคราวนี้คุณตาไปสมัครเป็นลูกจ้างของร้านช่างทำทองแห่งหนึ่งในอ่างทอง และเริ่มต้นฝึกในการเป็นช่างตีทอง คุณตาเป็นคนที่ฉลาดและรักการเรียนรู้ ประกอบกับเป็นคนที่มีฝีมือ ทำให้คุณตาสามารถเรียนรู้เทคนิคในการทำทองได้ในเวลาอันรวดเร็ว และกลายเป็นช่างทองที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่ว เพราะชิ้นงานที่ผ่านมือของคุณตา ไม่ว่าจะเป็นนาก เงิน หรือทองคำ ล้วนแล้วแต่มีความประณีตสวยงานและทนทาน เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าทั่วไป คุณตามีความมานะบากบั่น ก็ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบจนได้เงินก้อนหนึ่ง และต่อมาก็ซื้อกิจการร้านทองจากญาติที่มาอาศัยอยู่ด้วย จึงเป็นโอกาสอันดียิ่งในที่สุดคุณตาก็ได้เป็นเถ้าแก่ร้านทอง และที่หน้าร้านทองแห่งนี้จะมีต้นมะขามอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งต้นมะขามนี้มีกิ่งก้านเขียวชอุ่มที่ช่วยให้ร่มเงาแก่ร้านทองยามแสงแดดแผดกล้า ทำให้ร้านทองของคุณตามีความร่มรื่นเย็นสบาย เหมาะกับการทำงานตีทองเป็นยิ่งนัก คนในละแวกนั้นมักจะพูดกันว่า หากจะซื้อเครื่อประดับทองคำ ก็ให้ไปซื้อกับช่างทองที่นั่งตีทองอยู่ใต้ต้นมะขาม รับรองจะต้องถูกใจ ด้วยเหตุนี้เอง ต่อมาคำเรียกที่ว่า “ช่างทองใต้ต้นมะขาม” จึงกลายเป็นคำเรียกเฉพาะ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นชื่อร้านทองของคุณตานั่นเอง และชิ้นงานเครื่องประดับทองคำผีมือของคุณตา ก็ได้กลายเป็นงานเครื่องทองที่ลูกค้าทุกคนต่างนิยมชมชอบอย่างกว้างขวาง กล่าวได้ว่าในยุคนั้น เมื่อเอ่ยถึง “ช่างตีทองใต้ต้นมะขาม” จะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเลยก็ว่าได้ คุณตาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ แต่ดูสุภาพอ่อนโยน ผิวขาวผ่อง นัยน์ตาโด จมูกโด่ง เรียวหนวดบนริมฝีปากของคุณตายิ่งชวนหลงใหล คุณตาจึงดูคล้ายชาวตะวันตก จนคนในท้องถิ่นต่างเรียกคุณตาว่า “ฝรั่ง” ทุกวัน คุณตาจะยุ่งอยู่กับการทำงานตีทอง โดยจะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาเลือกซื้อเครื่องประดับทองคำจากหน้าร้านอย่างคับคั่งล้นหลามไม่ขาดสาย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นบรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย มักจะล้อมหน้าล้อมหลังคุณตา เพื่อสั่งทำเครื่องประดับทองคำ และเมื่อลูกค้ามีงานมงคลต่างๆ ก็จะต้องมาสั่งทำเครื่องประดับชนิดต่างๆ จากคุณตา ส่วนคุณยายที่ยังเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านเกิดในประเทศจีนเพียงลำพัง พยายามที่จะหาข่าวสารเกี่ยวกับคุณตาที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งก็ได้ข่าวกระเซ็นกระสายอยู่บ้าง แต่ก็เป็นข้อมูลข่าวสารที่ไม่มีที่มาที่ไปอย่างแน่ชัด จนคุณยายเริ่มกังวลใจ ในที่สุด คุณยายก็ได้ข่าวจากคนคุ้นเคยในหมู่บ้าน โดยเขาได้บอกเล่ากับคุณยายอย่างร้อนใจว่า “เธอควรจะต้องรีบไปสยามแล้วนะ มิฉนั้นสามีของเธออาจจะถูกผู้หญิงแถวนั้นแย่งไปแน่เลย” คุณยายจึงนิ่งเฉยรอคุณตาอยู่ที่บ้านไม่ได้อีกต่อไป คุณยายยอมทิ้งลูกตัวน้อยทั้งสี่ให้อยู่กันตามลำพังที่บ้าน แล้วคุณยายก็ออกเดินทางดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อมาหาคุณตาที่สยาม จะว่าไป คุณยายมีความขยันขันแข็งและมีความสามารถโดดเด่นกว่าคุณตาก็ว่าได้ เพราะคุณยายที่เดินทางมาถึงสยามไม่นาน แต่คุณยายก็สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ทันที และยังเป็นผู้ช่วยที่ดีของคุณตาในการทำงานตีทองอีกด้วย สองคนตายายทำงานอย่างมุมานะบากบั่น แม้คุณยายจะมีรูปร่างผอมเพรียว แต่สีหน้าและแววตาคุณยายเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเข้มแข็งจริงจัง แม้คุณยายจะไม่เคยเรียนหนังสือ อ่านหนังสือไม่ออก แต่คุณยายก็สามารถจดจำข้อมูลเรื่องราวทุกอย่างได้อย่างแม่นยำไม่เคยเลอะเลือน คุณยายเป็นผู้หญิงจีนแคะที่มีเอกลักษณ์ของจีนแคะเหมยเซี่ยนที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม มีความฉลาดหลักแหลม มีศักยภาพในการทำงานสูง มีความมานะอดทน ดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี ช่วยเหลือเกื้อกูลสามีและเลี้ยงดูบุตรหลายอย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะการช่วยงานตีทองของคุณตาที่หลังร้าน หรือการขายงานชิ้นทองที่หน้าร้าน คุณยายทำให้ที่เหล่านี้ได้อยางดีเยี่ยมอย่างไม่มีที่ตำหนิ นอกจากนี้คุณยายยังใช้พื้นที่ว่างบริเวณรอบๆบ้าน ทำการเพาะปลูกพืชผัก เลี้ยงไก่ เพื่อจะได้นำผลผลิตเหล่านี้มาเป็นอาหารภายในครอบครัว และหากมีเหลือก็ยังสามารถนำไปขายที่ตลาดอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือจุนเจือรายได้ในครอบครัวอีกทางหนึ่ง คุณยายเป็นผู้หญิงที่รักความสะอาดเรียบร้อยเป็นระเบียบ เสื้อผ้าหน้าผมของคุณยายจะดูสวยงามเรียบง่าย คุณยายเกล้าผมอย่างสุภาพเรียบร้อย ไม่ดัดผมแต่งหน้า ใช้ชีวิตร่วมกับคุณตาอย่างมีความสุข เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน คุณตากับคุณยายมีลูกที่เกิดที่ไทยเพิ่มขึ้นมาอีก 3 คน รวมกับลูกที่อยู่ที่บ้านเกิดอีก 4 คน จึงมีลูกทั้งหมด 7 คน ซึ่งเป็นลูกสาวทั้งหมด ความจริงคุณตาคุณยายก็ยังตั้งหน้าตั้งตา รอที่จะมีลูกชายสักคน ในที่สุดฟ้าก็เห็นใจ ได้ส่งลูกชายให้มาเป็นรางวัลแก่คุณตาคุณยาย 1 คน ครอบครัวคุณตาคุณยายจึงมี “เจ็ดดาวล้อมเดือนฉาย” สมกับสุภาษิตจีน ผ่านมากว่า 20ปี ชื่อเสียงของร้าน “ช่างตีทองใต้ต้นมะขาม” ได้กลายเป็นร้านทองชื่อเสียงโด่งดัง ที่ใครจะซื้อทองก็จะต้องมาเลือกซื้อที่ร้านคุณตาที่นี่เพียงที่เดียว แม้จะเป็นเพียงการซื้อตุ้มหู แหวนวงน้อย ทุกคนก็จะต้องเดินทางมาซื้อที่ร้านทองต้นมะขามเท่านั้น เพราะชิ้นงานที่มีคุณภาพโดดเด่น สวยงามไม่ซ้ำแบบใคร ทำให้ร้านทองของคุณตาจะคราคร่ำไปด้วยลูกค้าเช้าจรดเย็นทุกวัน จบภาคแรก
- คู่มือการคำนวณค่าทองคำในประเทศไทย
การลงทุนในทองคำถือเป็นทรัพย์สินที่มีความน่าสนใจในประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการเก็บออมที่มีคุณค่า แต่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว หากท่านต้องการทำความเข้าใจว่าค่าทองคำในประเทศไทยถูกคำนวณอย่างไร บทความนี้จะพาท่านไปศึกษาเรื่องการคำนวณราคาทองคำ รวมถึงความสำคัญและปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ แนะนำสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาวิธีการคำนวณทองคำอย่างถูกต้อง การคำนวณราคาทองคำไทย เมื่อพูดถึงการคำนวณราคาทองคำในไทย หลัก ๆ จะมีการตั้งต้นจากราคาในตลาดโลก ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนขึ้นและลงตามอุปสงค์และอุปทานทั่วโลก ตัวอย่างเช่น ราคาทองคำในตลาดโลกจะมีการเผยแพร่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นจะมีการแปลงราคาเป็นเงินบาท โดยมีการคำนึงถึงอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น นอกจากนั้น ยังมีค่าบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าขั้นต่ำในการซื้อหรือขาย และค่าธรรมเนียมที่ประเมินโดยร้านค้าทองคำ การคำนวณค่าทองคำไทยจึงสามารถอธิบายได้ผ่านสูตรง่าย ๆ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ราคาทองคำในตลาดโลก อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทไทยและดอลลาร์สหรัฐ เมื่อทราบข้อมูลทั้งสองนี้แล้ว ท่านก็สามารถใช้สูตรเพียงอย่างเดียวในการหาค่าทองคำในประเทศไทยได้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ราคาทองคำจะถูกกำหนดโดยปัจจัยหลายประการ ที่สำคัญได้แก่ อุปสงค์และอุปทาน : เมื่อมีความต้องการทองคำสูง ราคาจะแพงขึ้น และเมื่ออุปทานสูงมาก ราคาจะลดลง ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน มักจะมีผู้ซื้อทองคำมากขึ้น อัตราแลกเปลี่ยน : เนื่องจากทองคำถูกซื้อขายในดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนสามารถมีผลต่อราคาทองคำในไทยได้ การเมืองและเหตุการณ์สำคัญ : สถานการณ์การเมืองที่ตึงเครียด หรือเหตุการณ์สำคัญในโลกสามารถทำให้ราคาทองคำผันผวนได้อย่างรวดเร็ว อัตราดอกเบี้ย : โดยทั่วไปเมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนก็จะแห่หาทองคำเป็นการลงทุนมากขึ้น วิธีการตรวจสอบราคาทองคำ การตรวจสอบราคาทองคำสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับราคาทองคำในแต่ละวัน เช่น เว็บที่ให้บริการข้อมูลราคาทองคำล่าสุด หรือแอปพลิเคชันที่สามารถติดตามราคาทองคำแบบ Real-Time สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในทองคำ นี่คือแนวทางในการติดตามราคาทองคำที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เว็บไซต์ตลาดทองคำ : มีหลายเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลราคาทองคำประจำวันที่อัปเดต แบบสด ๆ เช่น เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเว็บที่ให้บริการเกี่ยวกับทองคำ แอปพลิเคชันมือถือ : มีแอปพลิเคชันที่สามารถติดตามราคาทองคำ และส่งการแจ้งเตือนเมื่อถึงราคาที่ต้องการ ช่องทางโซเชียลมีเดีย : หลายเพจบนเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรมมีการอัปเดตราคาทองคำแบบเรียลไทม์ การลงทุนในทองคำ การลงทุนในทองคำถือเป็นวิธีการที่มีความน่าสนใจและได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อทองคำแท่ง, ทองคำรูปพรรณ หรือการลงทุนในกองทุนทองคำ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงและมีความต้องการศึกษารายละเอียดก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน เมื่อจะทำการลงทุน นักลงทุนนั้นควรหาความรู้เกี่ยวกับราคาและการคำนวณทองคำ เช่น การคำนวณค่าทองตามที่ได้กล่าวมา รวมถึงทำการเปรียบเทียบกันระหว่างราคาทองคำในตลาดที่ต่างกัน เพื่อให้เข้าใจสถานะราคาที่แท้จริง นอกจากนั้น ให้ใช้ "วิธีคิดค่าทอง" โดยนำข้อมูลต่าง ๆ มาทำการวิเคราะห์เพื่อหากำไรที่เหมาะสม โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก วิธีคิดค่าทอง . ข้อสรุปเกี่ยวกับการคำนวณราคาทองคำไทย การคำนวณค่าทองคำในไทยไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด หากทราบถึงข้อมูลพื้นฐานทั้งสองที่ได้กล่าวมา นอกจากนี้ การติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวของตลาดทองคำจะช่วยให้ท่านสามารถตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้น การลงทุนในทองคำถือเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงแต่ก็มีศักยภาพในการสร้างผลกำไรในอนาคต หากท่านต้องการเป็นนักลงทุนทองคำที่ประสบความสำเร็จ ขอแนะนำให้ศึกษาหาความรู้และติดตามข้อมูลต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ
- ทองคำแท่ง: ความยั่งยืนและมูลค่าในอนาคต
ทองคำแท่งได้กลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในทุก ๆ ด้านของเศรษฐกิจ ตั้งแต่การลงทุนจนถึงการเก็บสะสม ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ การทำความเข้าใจในความยั่งยืนและมูลค่าของทองคำแท่งในอนาคตจึงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ทองคำแท่งและความยั่งยืน ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ถือว่ามีมูลค่าถาวร เนื่องจากมีคุณสมบัติในการทำงานที่แตกต่างจากเงินสดหรือหลักทรัพย์อื่น ๆ ทองคำแท่งไม่ได้เป็นเพียงแค่โลหะที่สวยงาม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงทางการเงินอีกด้วย ทองคำแท่งมีความยั่งยืน เนื่องจากสามารถเก็บไว้ได้นานไม่มีวันเสื่อมสภาพ การลงทุนในทองคำแท่งจึงไม่เพียงแต่เป็นการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการเก็บค่าเงินในระยะยาว การขึ้นลงของราคาทองคำส่งผลกระทบต่อการลงทุนของผู้คน การใช้ทองคำแท่งยังมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมและประเพณี ขนบธรรมเนียมการมอบทองคำในงานแต่งงานหรือการเก็บทองคำไว้เพื่อคุ้มครองครอบครัว ถือเป็นการอนุรักษ์มูลค่าที่มีมายาวนาน ความสำคัญของทองคำแท่งในตลาด ทองคำแท่งเป็นสินทรัพย์ที่มีการแลกเปลี่ยนในตลาดโลก ทองคำไม่เพียงแต่ใช้สำหรับการลงทุน แต่ยังมีความสำคัญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิตเครื่องประดับหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ราคาของทองคำแท่งมักจะขึ้นอยู่กับความต้องการในตลาด เมื่อเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ หรือตอนที่มีความไม่แน่นอนทางการเมือง มักจะทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น นักลงทุนมากมายมักเลือกที่จะลงทุนในทองคำแท่งเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว การลงทุนในทองคำแท่งไม่ใช่แค่การซื้อขายอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดทองคำ และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคา ควรทราบว่า ราคาทองคำแท่ง อาจแตกต่างกันไปตามสถานการณ์โลกและการบริโภคภายในประเทศ การประเมินมูลค่าทองคำแท่ง หนึ่งในวิธีการประเมินมูลค่าทองคำแท่งคือการพิจารณาที่น้ำหนักและคุณภาพทองคำ มักมีการแบ่งทองคำตามเกรดคุณภาพ เช่น ทองคำ 24K ที่มีความบริสุทธิ์สูงสุด ดังนั้นในการลงทุน คุณควรตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานของทองคำแท่งก่อนตัดสินใจซื้อ ราคาทองคำจะแสดงให้เห็นถึงความต้องการในตลาด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีปัจจัยเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน นักลงทุนจำนวนมากถือทองคำแท่งเป็น “ที่หลบภัย” สำหรับการลงทุน ทำให้ทองคำมีความต้องการสูงในช่วงเวลาเหล่านั้น การลงทุนในทองคำแท่งสำหรับอนาคต การตัดสินใจลงทุนในทองคำแท่งเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องพิจารณาถึงเป้าหมายทางการเงินของคุณ การลงทุนที่ลงตัวต้องจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนโดยรวม ทั้งนี้ หากคุณมุ่งหวังจะเก็บสะสมและลงทุนในระยะยาว ทองคำแท่งสามารถเป็นทางเลือกที่ดี คุณควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับราคาทองคำ ทั้งจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ เช่น ราคาทองคำแท่ง เพื่อให้คุณทราบว่าควรซื้อในช่วงไหนที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและแนวโน้มของตลาด ความยั่งยืนในโลกการเงิน ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนในทองคำแท่งนั้นไม่ได้สำคัญแค่มูลค่าทางการเงิน แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืนและการรักษามูลค่าในอนาคต ทองคำแท่งทำให้เรามองเห็นความมั่นคงในโลกที่อังกฤษโตไปเรื่อย ๆ การรักษาความยั่งยืนในทองคำไม่เพียงแต่หมายถึงการเก็บสะสมทองคำให้มีคุณภาพดี แต่ยังรวมถึงการตั้งใจในวิธีการลงทุนและการตัดสินใจที่ดีสำหรับอนาคต เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
- วิธีคำนวณราคาทองคำล่าสุดในตลาดไทย
การลงทุนในทองคำมีความนิยมสูงในประเทศไทย เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง และมักได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว สำหรับใครที่สนใจลงทุนทองคำ การรู้วิธีคำนวณราคาทองคำล่าสุดจะช่วยให้คุณได้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยในการตัดสินใจลงทุนมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้เราจะพูดถึงวิธีการหาข้อมูลราคาทองคำ วิธีการคำนวณ และปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำในตลาดไทย
.png)








